ยอดนำเข้าของจีนดิ่งเหว 19%
ตัวเลขการนำเข้าสินค้าของจีนในเดือนต.ค.นี้ ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 ทำให้เกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของจีน
การนำเข้าสินค้าของประเทศที่มีตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีตัวเลขอยู่ที่ 18.8% มีมูลค่าสูงถึง 130,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากตัวเลขเดือนก.ย.ที่ 20.4%
ในขณะเดียวกัน ตัวเลขการส่งออกของจีนอยู่ที่ 6.9% มีมูลค่าสูง 192,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยปัจจัยหลักมาจากความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ลดลง
จากสถิตินี้ ทำให้จีนเกินดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีมูลค่าสูงถึง 61,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หน่วยงานภาครัฐของจีนพยายามที่จะสร้างเศรษฐกิจให้เป็นไปตามกลไกของผู้บริโภค และพึ่งพาการส่งออกให้น้อยลง แต่จากตัวเลขการนำเข้าที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่า ความต้องการในประเทศยังคงไม่มีเสถียรภาพอย่างที่จีนต้องการ
รัฐบาลจีนตั้งเป้าการเติบโตทางการค้าไว้ที่ 6% เมื่อตอนต้นปี แต่มูลค่าโดยรวมของการค้าลดลงมา 8% ในช่วง 10 เดือนแรก
นายหลิว ลี่ กัง นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารออสเตรเลียแอนด์นิวซีแลนด์ (ANZ) กล่าวว่า ความต้องการในประเทศที่น้อยลง และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลดต่ำลง ส่งผลกับการเติบโตในการนำเข้าของจีน และคาดการณ์ว่า ภาคการส่งออกของจีน ก็ยังต้องเผชิญกับแรงต้านที่สำคัญต่อไป
ในสัปดาห์ที่แล้ว นายสี่ จิ้น ผิง ปธน.ของจีน ได้ส่งสัญญาณให้ผู้กำหนดนโยบาย ยอมรับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากกว่า 7%
เขากล่าวว่า ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปี ไม่ควรน้อยกว่า 6.5% ในปี 2563 เพื่อให้เป็นไปตามที่จีนเคยตั้งเป้าไว้ว่า จะเพิ่มตัวเลขจีดีพีจากปี 2553 ให้สูงขึ้นเป็น 2 เท่าใน 10 ปี
ในเดือนที่แล้ว จีนเปิดเผยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง 6.9% ในไตรมาส 3 ซึ่งนับว่าลดลงต่ำสุดตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก
ถึงแม้ว่าตัวเลขนี้จะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย แต่ปัจจัยลบจากตัวเลขการผลิตที่น่าผิดหวัง เงินเฟ้อ และมูลค่าการค้า จะยังคงเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลจีนต่อไป