สหรัฐฯ เตือนพลเมืองอย่าเดินทางไปจีน
เซียงไฮ้/ปักกิ่ง (รอยเตอร์) – เมื่อวันที่ 31 ม.ค. รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเตือนชาวอเมริกันอย่าเดินทางไปจีน เนื่องจากยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พุ่งแตะ 213 รายแล้ว และองค์การอนามัยโลก( WHO) ประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขทั่วโลกแล้ว
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำแนะนำในการเดินทางโดยเตือนว่าจีนเป็นประเทศที่มีอันตรายในระดับเดียวกับอิหร่านและอัฟกานิสถาน ข้อความที่โพสต์บนทวิตเตอร์ของกระทรวงคือ “อย่าเดินทางไปจีน เนื่องจากมีการค้นพบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่นของจีน ”
รัฐบาลปักกิ่งไม่ได้แสดงความเห็นกับคำเตือนของสหรัฐฯ แต่เพื่อเป็นการขานรับกับคำประกาศขององค์การอนามัยโลก โฆษกหญิงกระทรวงต่างประเทศระบุว่า “ จีนได้ใช้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคที่ครอบคลุมและเข้มงวดที่สุด ”
“ เรามีความเชื่อมั่นและศักยภาพอย่างเต็มกำลังที่จะชนะในการต่อสู้กับโรคระบาดครั้งนี้ ” โฆษกหญิงหัวชุนหยิงระบุในถ้อยแถลง
ทีดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกระบว่า ทางองค์กรไม่ได้แนะนำและคัดค้านการห้ามเดินทาง หรือทำการค้ากับจีน
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. กระทรวงสาธารณสุขจีนระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในมณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นต้นตอของการระบาด เพิ่มขึ้นเป็น 204 ราย และมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 9,692 ราย โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อ 129 รายในประเทศอื่นๆอีก 22 ราย แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีน
นายกรัฐมนตรีจูเซปเป กอนเต แห่งอิตาลีระบุว่า จะระงับการจราจรทางอากาศระหว่างอิตาลีกับจีน นับเป็นมาตรการร้ายแรงที่ประเทศส่วนใหญ่เลือกใช้ หลังจากอิตาลีประกาศผู้ติดเชื้อครั้งแรกจากนักท่องเที่ยวจีน 2 ราย
มีสายการบินมากขึ้นที่หยุดทำการบินไปจีน ทั้งแอร์ฟรานซ์ KLM SA, บริติช แอร์เวย์ส , ลุฟต์ฮันซาของเยอรมนี และ เวอร์จิ้น แอตแลนติก ขณะที่สายการบินอื่นลดจำนวนเที่ยวบินไปจีนลง
ขณะที่ประธานสายการบิน ANA ของญี่ปุ่นระบุว่า กำลังพิจารณาระงับเที่ยวบินไปจีน สำนักข่าว Jiji รายงานเมื่อวันที่ 1 ก.พ. โดยสายการบินระบุเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ว่า ยอดจองตั๋วไปจีนเดือนก.พ.ลดลงครึ่งหนึ่ง
รัฐบาลต่างชาติยังคงอพยพพลเมืองออกจากมณฑลหูเป่ยอย่างต่อเนื่อง และนำไปกักตัวเพื่อควบคุมการระบาด โดยสถานทูตของสหราชอาณาจักรในจีนระบุว่า เครื่องบินพาพลเมืองอังกฤษออกจากอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 1 ก.พ.
ญี่ปุ่น ซึ่งมีผู้ติดเชื้อ 14 ราย ระบุว่า จะใช้มาตรการพิเศษในการรับมือกับไวรัส รวมทั้งการกักตัวและใช้เงินกองทุนสาธารณะในการรักษา โดยญี่ปุ่นได้ส่ง 3 เที่ยวบินมาที่จีนเพื่อรับพลเมืองญี่ปุ่นกลับบ้าน
เครื่องบินลำแรกจาก 4 ลำที่อพยพพลเมืองเกาหลีใต้มาถึงสนามบินนานาชาติกิมโปเมื่อวันที่ 1 ก.พ. และเกิดความตึงเครียดขึ้นที่ศูนย์กักกันโรคเนื่องจากผู้ประท้วงระบุว่าอยู่ใกล้บ้านของพวกเขามากเกินไป
ในทางกลับกัน จีนพยายามนำพลเมืองซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวตกค้างที่ต่างประเทศกลับบ้าน โดยในวันที่ 30 ม.ค. มีการส่ง 2 เที่ยวบินไปที่ประเทศไทยและมาเลเซีย เพื่อนำชาวจีนกลับบ้าน จากรายงานของสื่อพีเพิลเดลี
สถิติของจีนชี้ว่า มีเพียง 2% ของผู้ติดเชื้อเท่านั้นที่เสียชีวิต ชี้ให้เห็นว่ามีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าโรค Sars ที่ระบาดในปี 2545 – 2546 และโรค Mers
แต่นักเศรษฐศาสตร์กังวลว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะรุนแรงกว่าโรค Sars ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 800 รายและสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจโลกประมาณ 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากสัดส่วนของจีนในเศรษฐกิจโลกมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก
สถาบันมูดีส์ระบุว่า ผลกระทบจากไวรัสอาจสะท้อนอย่างรุนแรงไปทั่วโลก โดยเฉพาะซัพพลายเชน และเสริมว่า “บริษัททั่วโลกที่ดำเนินการในพื้นที่ถูกกระทบอาจพบกับความขาดทุนจากผลผลิต เป็นผลมาจากการอพยพของแรงงาน”
เชื่อว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก่อตัวขึ้นในตลาดอาหารที่ขายสัตว์ป่าผิดกฎหมายในอู่ฮั่น และตอนนี้มีประชาชนประมาณ 60 ล้านคนในมณฑลหูเป่ยที่ต้องอยู่ในเมืองที่ถูกปิด
เนื่องจากมีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้มีความรู้สึกต่อต้านจีนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และผู้ผลิตผลิตหน้ากากอนามัยไม่ทันต่อความต้องการ.