จ้างงานสหรัฐฯเดือนพ.ย.พุ่ง
ตลาดงานในสหรัฐฯ ขยายตัวเติบโตอย่างน่าพอใจในเดือนพ.ย. โดยมีการจ้างงานที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมมากถึง 266,000 อัตรา และตัวเลขการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 3.5% จากรายงานของกระทรวงแรงงานที่มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา
โดยตัวเลขสูงกว่าการคาดการณ์ของผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ดัชนีดาวโจนส์ที่ระบุว่า การจ้างงานจะเติบโตอยู่ที่ 187,000 อัตรา และการว่างงานจะเสถียรอยู่ที่ 3.6 % เท่ากับเดือนต.ค. ตลาดหุุ้นปรับขึ้นในแดนบวกขานรับกับรายงานที่ดีเกินคาดการณ์นี้
“ ขีดเส้นใต้เลยว่าอเมริกายังไปได้สวย” แลร์รี คัดโลว์ ผอ.สภาเศรษฐกิจแห่งชาติกล่าวกับสื่อ CNBC “ นี่เป็นตัวเลขที่เยี่ยมมาก เป็นตัวเลขที่แฮปปี้ เป็นตัวเลขวันศุกร์ที่สดใส”
เป็นตัวเลขการจ้างงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ที่สูงถึง 312,000 อัตรา ขณะที่มีความหวังมากขึ้น งานส่วนใหญ่มาจากการกลับไปทำงานของพนักงานบ.เจเนรัล มอเตอร์ หลังจากมีการหยุดงานประท้วงยาวนาน ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้มีการจ้างงานด้านรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ถึง 41,300 อัตรา เป็นส่วนหนึ่งของภาคการผลิต 54,000 อัตรา ทั้งนี้ ภาครถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ลดลงมาอยู่ที่ 42,800 อัตราในเดือนต.ค.
อย่างไรก็ตาม จำนวนงานกระจายในหลายภาคส่วน ในด้านการดูแลสุขภาพมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 45,000 อัตรา หลังจากมีเพียง 12,000 อัตราในเดือนต.ค.
ในส่วนการท่องเที่ยวและโรงแรมเพิ่มขึ้น 45,000 อัตรา และบริการระดับอาชีพและธุรกิจเพิ่มขึ้น 31,000 อัตรา ขณะที่ค่าจ้างดีกว่าที่คาดการณ์
รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงปรับเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ยังเสถียรอยู่ที่ 34.4 ชั่วโมง
ตัวเลขการว่างงานอยู่ที่ 3.5% ลดลงจากเดิม 3.6% ในเดือนต.ค. กลับมาต่ำในรอบปี 2562 และเท่ากับตัวเลขว่างงานที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2512 เป็นต้นมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ จำเป็นต้องสร้างงานประมาณ 170,000 อัตราต่อเดือนเพื่อคงตัวเลขการว่างงานให้เสถียร จากการคำนวณของธนาคารกลางสหรัฐฯ
นี่ไม่ใช่ข่าวดีทั้งหมด เนื่องจากการช้อปในช่วงวันหยุดเทศกาลกำลังเร่งเครื่อง บริษัทค้าปลีกเพิ่มการจ้างงานเพียง 2,000 อัตรา และงานในส่วนผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ 8,000 อัตราเป็นการชดเชยงาน 18,000 อัตราที่หายไปในส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับเสื้อผ้า
งานในส่วนเหมืองแร่ก็หายไป 7,000 อัตรา ทำให้มีงานหดหายไปทั้งหมดถึง 19,000 อัตราตั้งแต่เดือนพ.ค.
รายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่งมีขึ้นท่ามกลางปีที่ท้าทายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงปลายฤดูร้อนมีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะแพร่กระจายมาที่ประเทศในอ่าวอเมริกา มาตรการภาษีโต้ตอบกันไปมาระหว่างสหรัฐฯกับจีนเพิ่มความกลัวว่าเศรษฐกิจจะขาดเสถียรภาพ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงถึง 3 ครั้งเพื่อพยุงไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่านี้
เมื่อความกลัวเศรษฐกิจถดถอยจางหายไป ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจยังคงสูงอยู่ การใช้จ่ายฟื้นคืนมาและตลาดหุ้นทำนิวไฮ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะมีการประชุมในสัปดาห์หน้า และมีความชัดเจนว่าเฟดไม่มีแผนปรับอัตราดอกเบี้ย นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด