ยอดขายศิลปะทั่วโลกร่วง 11 %
ตลาดขายผลงานศิลปะทั่วโลกหดตัวลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันในปี 2559 โดยเป็นการร่วงลงมาถึงจุดต่ำสุด นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลต่อตลาดประมูล
ยอดขายผลงานศิลปะและของเก่ามีมูลค่าลดต่ำลงถึง 11% ลงไปอยู่ที่ 56,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อ้างอิงจากรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 มี.ค.โดย UBS Group AG และ Art Basel โดยยอดขายที่ลดลง 7% ในปี 2558 กวาดเม็ดเงินที่ได้กำไรในปี 2556 – 2557 หายไปหมด โดยใน 2 ปีนั้น ยอดขายผลงานศิลปะทำสถิติมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 68,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“ ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายมากสำหรับตลาดศิลปะ ” แคลร์ แมคแอนดรูว์ ผู้ก่อตั้ง Arts Economics ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์
โดยแนวโน้มของตลาดศิลปะในความคิดของเธอสำหรับปี 2560 นี้ ยังคงต้องให้ความระมัดระวัง เนื่องจากผู้ขายยังคงลังเลที่จะขาย สาเหตุสำคัญคือความผันผวนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ซื้ออาจมองงานศิลปะและของเก่า ว่าเป็นการเก็บเงินที่ปลอดภัยท่ามกลางความผันผวนอื่นๆ หนุนให้ราคาในตลาดค่อยๆ เพิ่มขึ้น อ้างอิงจากรายงาน
ทั้งนี้ มีสัญญาณบางอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่สดใส โดยการประมูลงานยุคอิมเพรสชั่นนิสท์ สมัยใหม่ หลังสงครามและศิลปะร่วมสมัยอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาจากปีที่แล้ว
สถาบัน Christie’s ขายงานศิลปะเอเชียในนครนิวยอร์กด้วยราคาประมูลสูงถึง 332.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาประมูลที่สูงมากในสัปดาห์ที่แล้ว
โดยผลงานภาพวาดมังกร 6 ตัวของศตวรรษที่ 13 ขายในราคาสูงถึง 49 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นราคาภาพวาดจากจีนที่ขายนอกตลาดเอเชียที่สูงที่สุด โดยราคาประเมินอยู่ที่ 1.2 – 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปีที่แล้ว สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดขายศิลปะที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีมูลค่าคิดเป็น 40% ของยอดขายทั้งหมด ตลาดที่ใหญ่รองลงมาเป็นอันดับ 2 คือสหราชอาณาจักร คิดเป็น 21% ตามมาด้วยตลาดจีน ซึ่งมีมูลค่ายอดขายคิดเป็น 20%
โดยยอดขายจากดีลเลอร์และแกลเลอรี่่คิดเป็น 57% ของตลาดทั้งหมด เพิ่มขึ้น 3% เป็น 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในขณะที่การขายด้วยวิธีประมูลลดลงถึง 21% มาอยู่ที่ 22,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อ้างอิงจากรายงาน
ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อย่าง Sotheby’s และ Christie’s สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดจากเดิมรวมกันอยู่ที่ 42% ในปี 2558 ลดลงมาอยู่ที่ 38% ในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 4% เป็น 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 9% ของตลาดทั่วโลก โดยราคาขายส่วนใหญ่ต่อชิ้นต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ.