ญี่ปุ่นส่งออกร่วง 10 เดือนต่อเนื่อง
โตเกียว ( รอยเตอร์ ) – ยอดส่งออกของญี่ปุ่นหดตัวลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันในเดือนก.ย. ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะผ่อนคลายนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้าเพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศ และดีมานด์ที่ชะลอตัว
โดยยอดส่งออกลดลงถึง 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รายงานเมื่อวันที่ 21 ต.ค.โดยส่วนที่ฉุดตัวเลขลงมากที่สุดคือชิ้นส่วนรถยนต์ และอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์
ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่ายอดส่งออกจะลดลงกว่า 4% และทำให้เป็นช่วงเวลาที่ตัวเลขส่งออกร่วงลงนานที่สุด นับตั้งแต่ช่วง 14 เดือนจากต.ค.2558 – พ.ย. 2559 เป็นต้นมา
ในแง่ปริมาณ ยอดส่งออกลดลง 2.3% จนถึงเดือนก.ย. เป็นการลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ ยอดส่งออกที่ลดลงยาวนานมีขึ้นหลังจากรัฐบาลลดตัวเลขประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจลงในวันที่ 18 ต.ค. โดยเตือนเรื่องการส่งออกที่อ่อนแรงลง
ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมวันที่ 30 – 31 ต.ค. หลังจากธนาคารระบุในการทบทวนอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดว่า ปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศอาจส่งผลกระทบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่อ่อนไหวเปราะบาง
โดย BOJ จะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นถึงระยะกลางอย่างมีเสถียรภาพหากจำเป็น เพื่อเป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ผู้ว่าการฮารุฮิโกะ คุโรดะ กล่าวกับสื่อรอยเตอร์เมื่อวันที่ 19 ต.ค.
เศรษฐกิจทั่วโลกมีความเสี่ยงมากขึ้นจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่งผลทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมืดมนลง เมื่อรวมกับปัจจัยอื่น ทำให้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลเตรียมพร้อมที่จะใช้มาตรการทางการคลัง หากมีความจำเป็นต้องพยุงเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
ยอดส่งออกในเอเชีย ซึ่งคิดเป็นกว่าครึ่งของยอดส่งออกโดยรวมของญี่ปุ่น ลดลง 7.8%
ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ขณะที่ยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง 7.9% โดยสาเหตุสำคัญคือยอดจัดส่งรถยนต์ 3,000cc และขนาดใหญ่กว่านั้นที่ลดจำนวนลง
ยอดนำเข้าโดยรวมของญี่ปุ่นลดลง 1.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงน้อยกว่าที่มีการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลง 2.8%
ทำให้ดุลการค้าขาดดุลอยู่ที่ 123,000 ล้านเยน ( 34,956 ล้านบาท) เทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะได้ดุลการค้าอยู่ที่ 54,000 ล้านเยน ( 15,346 ล้านบาท )