IMF ชี้สงครามการค้าฉุดศก.ดิ่งสุดใน 10 ปี
เมื่อวันที่ 15 ต.ค. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ระบุว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกให้ชะลอตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2551 – 2552 โดยเสริมว่าแนวโน้มจะยิ่งมืดมนหากยังไม่มีการแก้ไขความตึงเครียดทางการค้าให้หมดไป
โดย IMF ระบุว่า รายงาน World Economic Outlook ล่าสุดชี้ว่า ตัวเลข GDP ทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3.0% ลดลงจาก 3.2% ในการคาดการณ์เมื่อเดือนก.ค. โดยส่วนใหญ่เป็นผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
รายงาน World Economic Outlook ชี้แจงในรายละเอียดที่ชัดเจนของความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาษีสหรัฐฯ – จีน ทั้งค่าใช้จ่ายโดยตรง ความปั่นป่วนของตลาด การลดการลงทุน และผลผลิตต่ำลงเนื่องจากซัพพลายเชนถูกกระทบ
“ การเติบโตอ่อนแรงลงจากกิจกรรมการผลิตและการค้าทั่วโลกที่ลดลง ภาษีที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่ลากยาวทำลายการลงทุนและดีมานด์สำหรับสินค้าทุน” Gita Gopinath หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF ระบุในแถลงการณ์
ยอดซื้อรถยนต์ทั่วโลกลดลง 3% ในปี 2561 สะท้อนดีมานด์ที่ลดลงในจีน หลังจากเงินอุดหนุนภาษีหมดอายุ และมีการปรับเปลี่ยนการผลิตหลังจากมีการกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษใหม่ในเยอรมนี และประเทศอื่นๆในยูโรโซน
การเติบโตการค้าทั่วโลกมีเพียง 1% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 เป็นตัวเลขที่ลดต่ำลงที่สุดตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา เป็นผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น และความไร้เสถียรภาพของนโยบายการค้าที่ยาวนาน รวมถึงความตกต่ำของอุตสาหกรรมรถยนต์
หลังจากขยายตัว 3.6% ในปี 2561 ตอนนี้ IMF คาดการณ์ว่าปริมาณการค้าทั่วโลกจะขยายตัวเพียง 1.1% ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนก.ค. 1.4% และต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ในเดือนเม.ย. 2.3%
คาดการณ์ว่าการเติบโตของการค้าจะฟื้นตัวขึ้นมาเป็น 3.2% ในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงมีผลทำให้ตัวเลขอาจบิดไปในทางลบ เป็นผลมาจากตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และจีน