เฟดชี้ควรปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือนนี้

สหรัฐฯ ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งก็คือเดือนมี.ค.นี้ อ้างอิงจากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด
น.ส.แจเน็ท เยลเลน ประธานเฟดกล่าวว่า คณะทำงานของเฟดจะประเมินว่าตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อยังคงอยู่ในกรอบของการคาดการณ์ไปจนถึงการประชุมครั้งใหม่ในเดือนมี.ค.นี้
นอกจากนี้ เธอยังชี้ว่า ธนาคารกลางควรปรับขึ้นดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นกว่าในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
โดยอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น 0.25% ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบทศวรรษทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ที่ 0.5-0.75%
จากสุนทรพจน์ที่กล่าวในการประชุมระดับผู้บริหารที่ชิคาโก น.ส.เยลเลนกล่าวว่า เศรษฐกิจดูจะมีความยืดหยุ่นและปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีนี้ จากตลาดงานที่แข็งแกร่งขึ้นและตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นตามเป้า
เธอเสริมว่า “ เราพิจารณาตัดสินได้ว่า ดอกเบี้ยจากเฟดจะค่อยๆปรับขึ้นอย่างเหมาะสม ถ้าข้อมูลทางเศรษฐกิจยังคงเป็นไปอย่างที่เราคาดการณ์อย่างต่อเนื่อง ”
“ ที่จริงแล้ว ในการประชุมของเราเมื่อเดือนที่แล้ว คณะกรรมการจะประเมินว่า ตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อจะเป็นไปตามคาดการณ์อย่างต่อเนื่องหรือไม่ เพื่อทำให้การตัดสินใจปรับดอกเบี้ยขึ้นของเฟดเป็นไปอย่างเหมาะสม ”
อย่างไรก็ตาม เธอเสริมว่า ไม่ได้เป็นเรื่องที่ตั้งธงไว้ก่อน และคณะกรรมการของเฟดพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางนโยบายทางการเงิน หากเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดของแนวโน้มเศรษฐกิจ
Gennadiy Goldberg นักวางกลยุทธ์อัตราดอกเบี้ยที่ TD Securities กล่าวว่า “ เยลเลนส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.นี้ ”
จากถ้อยแถลงของเธอ เยลเลนกล่าวว่า การรอคอยนานเกินไปที่จะขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้เราต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในช่วงขาลง ซึ่งอาจทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดเงินและทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย เธอยังกล่าวว่า มีความเชื่อมั่นว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างคอยเป็นค่อยไปเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว
อย่างไรก็ตาม เธอเสริมว่า ถึงแม้การพัฒนาที่ไม่คาดคิดจะกระทบแนวโน้มทางเศรษฐกิจ การเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นก็จะไม่ชะลอตัวเท่ากับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีนี้ จากการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจสำหรับ 3 ปีข้างหน้าที่เปิดเผยออกมาเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้วชี้ว่า ดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4% ในปี 2560 ในปี 2561 จะเป็น 2.1% และจะปรับเป็น 2.9% ในปี 2562.