ฮ่องกงเริ่มประท้วงอีกหลังเกิดเหตุรุนแรง
ฮ่องกง (รอยเตอร์) – เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ฮ่องกงเริ่มมีการประท้วงที่ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอีกครั้งและมีการเรียกร้องให้ออกมาชุมนุมกันมากขึ้น หลังเกิดเหตุการปะทะอย่างรุนแรงนานเกือบ 4 ชั่วโมง รวมทั้งการที่ตำรวจยิงผู้ประท้วงที่เป็นเด็กนักเรียนด้วย
การประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกงกลายเป็นความรุนแรงตั้งแต่เช้าวันที่ 1 ต.ค. และสถานการณ์รุนแรงต่อเนื่องไปจนถึงกลางคืน ขณะที่ในจีนมีการเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรุงปักกิ่ง
มีภาพตำรวจยิงแก๊สน้ำตาและฉีดพ่นน้ำเข้าใส่ผู้ประท้วงออกอากาศสดไปทั่วโลกในหลายพื้นที่ในเขตคอสเวย์เบย์ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมไปจนถึงย่าน Admiralty ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการของรัฐบาล
โรงเรียนมัธยมในฮ่องกงมีแผนจะยกเลิกการเรียนการสอนในวันที่ 2 ต.ค.เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ตำรวจยิงผู้ประท้วงวัย 18 ปีผู้หนึ่ง โดยมีการเผยแพร่ภาพวีดีโอในการกระทำการรุนแรงของตำรวจในครั้งนี้ไว้ได้
ตำรวจระบุว่า เจ้าหน้าที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของทางการตามลำดับความรุนแรง โดยตำรวจเสริมว่า เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมีสติในระหว่างถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีรายงานอาการล่าสุดของเขาในวันที่ 2 ต.ค.
ในวันที่ 1 ต.ค. รถไฟใต้ดิน หรือ MTR สั่งปิดให้บริการเกือบ 50 สถานีเพื่อเป็นการหยุดผู้ประท้วงในการเดินทาง แต่ก็ยิ่งทำให้สถานีรถไฟใต้ดินตกเป็นเป้าของการโจมตี โดยกลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรงเข้าทำลายทรัพย์สินของสถานี และกล่าวหาว่า MRT ปิดสถานีตามคำสั่งของรัฐบาล
แต่ในวันที่ 2 ต.ค. MTR ก็เปิดให้บริการได้ โดยมีบางสายให้บริการช้ากว่าปกติ ขณะที่พนักงาน MRT พยายามจะซ่อมแซมฟื้นฟูความเสียหายเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนเกือบ 6 ล้านคนซึ่งใช้บริการนี้ทุกวัน
การชุมุนมประท้วงในฮ่องกงที่ขยายตัวลุกลามขึ้น ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีความกังวลว่าฮ่องกงจะมีเศรษฐกิจถดถอยเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ และเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลกลางยังคงติดกับดักอยู่ในสงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก
ผู้ประท้วงไม่พอใจที่เห็นรัฐบาลปักกิ่งเข้ามาแทรกแซงกิจการฮ่องกง แม้จะมีคำสัญญาที่ให้ฮ่องกงเป็นเขตบริหารพิเศษ
ขณะที่จีนเพิกเฉยต่อคำกล่าวอ้างเหล่านั้น และกล่าวโทษรัฐบาลต่างชาติ ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯและอังกฤษ ว่าอยู่เบื้องหลังการชุมุชมต่อต้านรัฐบาลจีน