ซาอุฯเผยโรงกลั่นน้ำมันที่ถูกโจมตี
มีงานซ่อมแซมโรงกลั่น 2 แห่งของบริษัท Aramco ของซาอุดิอาระเบีย หลังจากถูกโดรนโจมตีเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ซาอุฯต้องลดกำลังการผลิตลงครึ่งหนึ่ง
การโจมตีตั้งเป้าที่โรงกลั่นน้ำมัน Abqaiq และ Khurais ของซาอุฯ ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพซัพพลายน้ำมันทั่วโลก และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น
โรงกลั่น Abqaiq ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดทางตะวันออกที่มีปริมาณน้ำมันมาก เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและมีกำลังการผลิตกว่า 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะที่ Khurais ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโรงกลั่น Abqaiq ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 110 ไมล์ มีกำลังการผลิตประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ในการสำรวจโรงกลั่นของ Aramco ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของซาอุฯ ผู้สื่อข่าวรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้น และการซ่อมแซม ผู้บริหารบริษัทที่พาชมโรงกลั่นระบุกับสื่อ CNBC ว่า มีพนักงาน 200 คนที่ทำงานในโรงกลั่น Khurais ในช่วงที่ถูกโจมตี 4 จุดของโรงกลั่น
โดยเจ้าหน้าที่เสริมว่า ในช่วงเวลาที่พนักงานพยายามดับไฟที่เกิดจากการโจมตีรอบแรกก็มีการโจมตีเกิดขึ้นซ้ำอีก
ในการเปิดโรงกลั่น Khurais ให้สื่อชม เผยให้เห็นภาพท่อน้ำมันที่ละลายและบริเวณที่ถูกเผา ซึ่งกำลังซ่อมแซมอยู่ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ระบุว่า สามารถกลับมาใช้การได้แล้ว 30% และมีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยกำลังการผลิตของโรงกลั่น Khurais จะเต็มกำลัง 100% ภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้
โดยพวกเขาเสริมว่า กำลังการผลิตของซาอุฯ ที่เต็มศักยภาพประมาณ 12 ล้านบาร์เรลต่อวันจะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย. และในช่วงเดือนนี้จะมีกำลังการผลิตประมาณ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะที่โรงกลั่น Abqaiq ที่ตั้งมานาน 70 ปี ถูกโจมตี 18 จุด จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ซาอุฯ โดยระบุว่าจะกลับมาผลิตได้ตามปกติภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้
เพื่อให้งานซ่อมเสร็จสมบูรณ์ ทาง Aramco ชี้ว่าต้องมีการจัดส่งอุปกรณ์มาจากทั้งสหรัฐฯและยุโรป
ก่อนหน้านี้ในสัปดาห์นี้ โฆษกของรัฐบาลผสมซาอุฯ ระบุในการแถลงข่าวว่า มีโดรนและขีปนาวูธ 25 ชิ้นที่ใช้ในการโจมตี โดยทางสหรัฐฯและซาอุฯระบุว่าพบซากโดรนและขีปนาวุธโดยเจ้าหน้าที่สืบสวน รวมถึงทิศทางของการยิง ชี้ว่าน่าจะมาจากอิหร่าน แต่ทางอิหร่านปฏิเสธความเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ หลังการโจมตี ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และเวสต์เท็กซัสพุ่งขึ้นประมาณ 7% ในสัปดาห์นี้.