‘ทรัมป์’ แนะ ‘สี’ คุยส่วนตัววิกฤตฮ่องกง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตเมื่อวันที่ 14 ส.ค.โดยชี้ว่า ควรมีการประชุมส่วนตัวกับประธานาธฺบดีสีจิ้นผิงเกี่ยวกับวิกฤตฮ่องกงที่กำลังดำเนินอยู่ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
“ผมรู้จักท่านประธานาธิบดีสีดีมาก ” ผู้นำสหรัฐฯทวีต “ ท่านเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ได้รับความเคารพจากประชาชนของท่านมาก ท่านยังเป็นคนดีในเรื่องธุรกิจยากๆ ผมไม่กังขาเลยหากประธานาธิบดีสีอยากแก้ปัญหาฮ่องกงโดยเร็วและอย่างมีมนุษยธรรม ท่านสามารถทำได้ ประชุมส่วนตัวดีไหม ?”
ชาวฮ่องกงหลายแสนคนชุมนุมเดินขบวนไปตามท้องถนนเพื่อประท้วงร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่จะทำให้มีการส่งตัวผู้กระทำความผิดไปพิจารณาคดีที่จีน ทางรัฐบาลฮ่องกงยอมระงับร่างกฎหมายนี้แล้ว แต่การประท้วงบานปลายไปเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ ขอมีสิทธิ์ในการเลือกตั้งผู้บริหารฮ่องกงเอง และกดดันให้แคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงออกจากตำแหน่ง
โดยทรัมป์ยังเตือนในอีกทวีตว่า หากจีนต้องการทำข้อตกลง ควรจะรับมืออย่าง “มีมนุษยธรรม” กับฮ่องกง
ในสัปดาห์นี้ ทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนบางส่วนออกไป เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการใช้จ่ายซื้อสินค้าช่วงเทศกาลวันหยุด คำประกาศนี้หนุนให้ดัชนีดาวโจนส์ในตลาดหุ้นสหรัฐฯทะยานขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อวันที่ 13 ส.ค.
ทรัมป์โพสต์เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ว่า การเลื่อนภาษี “ช่วยจีนมากกว่าเรา แต่ก็จะสลับกันได้ ”
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 15 ส.ค. พีเพิลเดลีซึ่งเป็นสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลจีนระบุว่า “ความพยายามใดๆที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพฮ่องกง ดูจะไม่ได้ผล”
โดยบทบรรณาธิการชิ้นนี้ยังระบุว่า “นักการเมืองตะวันตกควรสนใจแต่เรื่องของประเทศตัวเอง และสำหรับผู้ที่มีแรงจูงใจแอบแฝง ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของฮ่องกง ! ”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการขานรับเป็นพิเศษจากทางการจีนกับคำแนะนำของทรัมป์ที่ให้ นำเรื่องประชุมเกี่ยวกับฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาทางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่
ปักกิ่งย้ำหลายครั้งกับหลายชาติว่าการประท้วงฮ่องกงเป็น “กิจการภายใน” เมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค. ในบทบรรณาธิการของสื่อไชน่าเดลี่ของจีนให้ความเห็นว่าการประท้วงครั้งนี้เป็นการแทรกแซงของสหรัฐฯ
โดยบทความนี้พาดหัวว่า “ นักการเมืองสหรัฐฯทวีตแสดงการเสแสร้งอย่างน่าเกลียดและเจตนาร้าย” และรายงานที่ระบุว่า นักการเมืองสหรัฐฯ กำลัง “ฟอกขาวความรุนแรงว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และจงใจตีความการทำงานของตำรวจฮ่องกงในเชิงลบ” บทความยังเสริมว่า ด้วยการกระทำเช่นนี้ นักการเมืองสหรัฐฯ “สนับสนุนการก่ออาชญากรรมในเมืองของจีนและแทรกแซงกิจการภายในของจีน”.