สหรัฐฯเตือนเดินทางไปฮ่องกง
ฮ่องกง : วอชิงตันออกคำเตือนพลเมืองสหรัฐฯให้ระมัดระวังมากขึ้นในการเดินทางไปฮ่องกง เนื่องจากผู้ประท้วงประกาศว่าจะชุมนุมประท้วงที่สนามบินฮ่องกงนาน 3 วัน
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯยกระดับคำเตือนในการเดินทางจาก “เหตุความไม่สงบกลางเมือง” หลังจากมีการประท้วงบนถนนหลายสายและลุกลามกลายเป็นความรุนแรง
โดยมีการยกระดับคำเตือนเป็นระดับ 2 จากทั้งหมด 4 ระดับ ซึ่งหมายความว่านักเดินทาง “ควรต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น”
การประท้วงในฮ่องกงเริ่มต้นขึ้นด้วยการประท้วงกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปจีน และลุกลามกลายเป็นการท้าทายรัฐบาลโดยตรงและเรียกร้องให้ฮ่องกงมีประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์
สหรัฐฯออกคำเตือนในการเดินทางหลังจากหลายประเทศ อย่างออสเตรเลีย อังกฤษ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ และญี่ปุ่นออกคำเตือนพลเมืองในการเดินทางไปฮ่องกงมาก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. การหยุดงานประท้วงของกลุ่มผู้ชุมนุมทำให้มีการยกเลิกเที่ยวบินกว่า 160 ไฟลท์ และการคมนาคมในเมืองเป็นอัมพาต
ในวันที่ 6 ส.ค. จีนออกคำเตือนอย่างแข็งกร้าวถึงผู้ประท้วงที่สนับสนุนประชาธิปไตย แต่คาดการณ์ว่าการประท้วงจะดำเนินต่อไป โดยผู้ประท้วงมีแผนว่าจะมีการชุมนุมถึง 3 วันที่สนามบินฮ่องกงในบ่ายวันที่ 9 ส.ค.
การท่าอากาศยานฮ่องกง (AA) กล่าวกับสื่อว่า ได้มีการเฝ้าระวังการรวมตัวชุมนุมที่สนามบินในวันที่ 9 ส.ค. “ ทาง AA จะทำงานใกล้ชิดกับคู่ค้าธุรกิจและมีมาตรการฉุกเฉินเพื่อให้การปฏิบัติงานที่สนามบินเป็นไปอย่างราบรื่น”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ผู้ประท้วงรวมตัวชุมนุมกันที่สนามบิน แชร์ข้อความกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงสนามบินฮ่องกง โดยการประท้วงดำเนินไปอย่างสงบ และไม่ส่งผลกระทบกับเที่ยวบินแต่อย่างใด
แต่ยอดจองบัตรโดยสารของคาเธ่ย์ แปซิฟิกลดฮวบลงจากวิกฤตที่ดำเนินอยู่ในฮ่องกงประธานจอห์น สโลซาร์ออกโรงเตือนเมื่อวันที่ 7 ส.ค. “การประท้วงในฮ่องกงลดจำนวนผู้โดยสารขาเข้าฮ่องกงในเดือนก.ค. และกระทบกับยอดจองตั๋ว” เขากล่าว
ฮ่องกงกำลังประสบกับวิกฤตเลวร้ายที่สุด หลังจากอังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนมาเป็นของจีนในปี 2540 ผู้บริหารสำนักกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนระบุเมื่อวันที่ 7 ส.ค.
การประท้วงครั้งนี้เป็นการท้าทายอำนาจประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนที่มีประชาชนเข้าร่วมมากที่สุด นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีนในปี 2555
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการประท้วง ประธานาธิบดีสีกำลังประสบกับสถานการณ์ความยุ่งยากทั้งจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีน.