ฝรั่งเศสร้อนจัดทะลุ 45.9 องศา
ปารีส (รอยเตอร์) – อุณหภูมิในฝรั่งเศสพุ่งสูงสุดทุบสถิติเดิมในวันที่ 28 มิ.ย.และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากคลื่นความร้อนที่แผ่ขยายไปทั่วยุโรป
โดยอุณหภูมิในฝรั่งเศสพุ่งสูงถึง 45.9 องศาเซลเซียสที่เมือง Gallargues-le-Montueux ในแคว้นโพรวองซ์ ทางใต้ของประเทศ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 องศาจากสถิติเดิมคือ 44.1 องศาเซลเซียสในเดือนส.ค. 2546 จากการรายงานของ Meteo France ซึ่งเป็นหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาของฝรั่งเศส
12 เมืองทางใต้ของฝรั่งเศสมีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. และมี 3 เมืองที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 45 องศาเซลเซียส
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกระบุว่าปี 2562 เป็นปีที่เริ่มเข้าสู่ช่วงร้อนที่สุดในโลก และปี 2558 – 2562 ถูกบันทึกว่าเป็นช่วงเวลา 5 ปีที่มีอากาศร้อนที่สุด
โดยองค์กรระบุว่า คลื่นความร้อนในยุโรปจะมีความรุนแรงที่ “คงเส้นคงวาอย่างที่สุด” เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
4 กระทรวงบริหารในฝรั่งเศสออกคำเตือนเป็นระดับสีแดง เป็นสัญญาณว่าอุณหภูมิ “ มีความรุนแรงในระดับอันตราย” ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิปกติของซาอุดิอาระเบีย
คาดการณ์ว่าจะยังคงมีอุณหภูมิสูงในระดับนี้ไปจนถึงต้นสัปดาห์หน้า
ขณะที่ในสเปน ซึ่งอุณหภูมิสูงเกิน 43 องศาเซลเซียสเป็นวันที่สอง เกิดไฟป่าเผาผลาญพื้นที่ไป 60 ตารางกม.ในแคว้น Tarragona ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทางการระบุว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องต่อสู้กับไฟป่าถึง 20 จุดเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ขณะที่แคว้นตรงกลาง เกิดไฟป่านอกเมือง Toledo ทำให้ต้องอพยพคนออกจากอาคารสาธารณะ 2 แห่ง
ใน Valladolid ทางเหนือของสเปน ชายวัย 93 ปีเสียชีวิตจากความร้อน และในเมือง เล็กๆนอกเมือง Cordoba วัยรุ่นอายุ 17 ปีเสียชีวิตจากผลกระทบของความร้อนหลังจากกระโดดลงสระว่ายน้ำเพื่อคลายร้อน
ในฝรั่งเศส โรงเรียนประมาณ 4,000 แห่งปิดเรียน หรือเรียนในเวลาจำกัดเพื่อช่วยผู้ปกครองที่ไม่สามารถอยู่บ้านได้
SNCF ผู้ให้บริการรถไฟเสนอให้ผู้โดยสารยกเลิก หรือเปลี่ยนเส้นทางระยะยาวได้ฟรี
ขณะที่เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ช่วยคนไร้บ้านให้สามารถรับมือกับความร้อน และครอบครัวชาวฝรั่งเศสที่มีญาติเป็นผู้สูงวัย หรืออาศัยอยู่คนเดียว ได้รับคำแนะนำให้โทรหาพวกเขา หรือไปเยื่ยมเยียนพวกเขา 2 ครั้งต่อวัน และพาไปในสถานที่เย็นๆ
Ile de France ซึ่งเป็นแคว้นที่ตั้งกรุงปารีส จำกัดจำนวนรถยนต์ไม่ให้วิ่งบนถนนลงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากความร้อนทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ แม้รถยนต์ทุกคันจะได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองเพราะวันหยุดโรงเรียนเริ่มขึ้นแล้ว ขณะที่ในเมืองลียง , สตราสบูร์ และมาร์เซย ก็มีการจำกัดปริมาณรถยนต์อย่างเข้มงวดเช่นกัน.