เตือนศก.สหรัฐฯถดถอย เศรษฐีหยุดใช้เงิน
บรรดาคนร่ำรวยในสหรัฐฯ งดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทุกอย่างตั้งแต่บ้านไปถึงเครื่องประดับ จุดกระแสความกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอย
จากอสังหาริมทรัพย์และห้างค้าปลีกไปจนถึงรถยนต์คลาสสิกและงานศิลปะ ภาคส่วนที่กำลังซื้อลดฮวบลงมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจอเมริกัน ณ ตอนนี้คือกลุ่มมหาเศรษฐี ขณะที่กลุ่มคนชั้นกลางและภาคส่วนบริโภคในวงกว้างยังคงมีการใช้จ่ายอยู่ นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า การหยุดใช้เงินทันทีในกลุ่มเศรษฐีอาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ และฉุดการเติบโตไปอีกนาน
อสังหาฯหรูหราคาแพงมียอดขายต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2552 เป็นต้นมา
และบริษัทค้าปลีกประมาณ 1% ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยแบรนด์แฟชั่นหรู Barney’s ยื่นล้มละลาย และ Nordstorm รายงานรายได้ลดลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสแล้ว ขณะที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Wal-Mart และ Target ซึ่งขายสินค้าราคาผู้บริโภค กลับรายงานการเติบโตที่สูงเกินคาด
ในการประมูลขายรถยนต์หรูราคาแพงประจำเดือนของ Pebble Beach รถยนต์ที่มีราคาสูงเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือมากกว่านั้น ขายได้ไม่ถึงครึ่ง แต่รถยนต์ที่มีราคาต่ำกว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขายได้เร็วกว่าและมากกว่าที่คาด
ในครึ่งปีแรกของปี 2562 นี้ ยอดขายงานศิลปะจากการประมูลลดลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยยอดขายของ Sotheby’s ลดลง 10% และยอดขายของ Christie’s ลดฮวบลงถึง 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า บรรดาเศรษฐีในสหรัฐฯเริ่มปิดกระเป๋าสตางค์ หากยอดใช้จ่ายลดลงมากยิ่งขึ้น เศรษฐกิจในวงกว้างของสหรัฐฯ จะเริ่มได้รับผลกระทบ โดย 10% ของบัญชีรายได้เศรษฐีคิดเป็นเกือบครึ่งของกรอบการใช้จ่ายผู้บริโภคโดยรวม จากข้อมูลของ Mark Zandi หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Moody’s การใช้จ่ายของคนรวยเริ่มลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่คนชั้นกลางมีการบริโภคเพิ่มขึ้น
“หากผู้บริโภครายได้สูงใช้จ่ายเงินน้อยลง จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจนต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ” Zandi ระบุ “ หากการจ้างงานชะลอตัว ตัวเลขคนตกงานจะเพิ่มขึ้น รวมชนชั้นกลางเข้าไปด้วย จะยิ่งส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจถดถอย”
มี 2 เหตุผลที่ทำให้เศรษฐีใช้เงินน้อยลง นั่นคือ ตลาดหุ้นที่ผันผวน และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว มหาเศรษฐี 10% เป็นเจ้าของหุ้น 80% ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ดังนั้น พวกเขาจึงอ่อนไหวมากกว่ากับความผันผวนของราคาหุ้นและพันธบัตร
นอกจากนี้ เพราะเศรษฐีจำนวนมากเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำธุรกิจในต่างประเทศ พวกเขาจึงมีระบบรับสัญญาณเตือนล่วงหน้าได้จากพายุเศรษฐกิจที่ก่อตัวขึ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคชนชั้นกลางในสหรัฐฯ ยังคงได้รับอานิสงส์จากการจ้างงานที่แข็งแกร่ง และตลาดบ้านที่มีเสถียรภาพ ขณะที่กลุ่มเศรษฐีแม้จะมีทรัพย์สินอีกมากให้ใช้จ่าย แต่การใช้จ่ายของพวกเขาขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นและความแน่นอน และตอนนี้พวกเขารู้สึกได้เพียงเล็กน้อยจากสภาพตลาดหุ้นและสงครามการค้า