ไต้หวันเสี่ยง พรรค DPP ชนะเลือกตั้ง
เศรษฐกิจของไต้หวันกำลังเผชิญความไม่แน่นอน เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างไต้หวันกับจีนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นหลังพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน โดยนักวิเคราะห์มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจไต้หวัน
อมุนดี แอตเสต แมเนจเมนต์ (Amundi Asset Managment) ระบุในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การรับรู้ความเสี่ยง (Risk Perception) ของตลาดไต้หวันนั้นมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าตลาดไต้หวันจะปรับตัวรับปัจจัยเรื่องการคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งของพรรค DPP เป็นส่วนใหญ่แล้วก็ตาม โดยการตอบสนองของตลาดไต้หวันนั้นขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของจีนในช่วงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนข้างหน้า
ขณะเดียวกัน อมุนดี แอตเสต แมเนจเมนต์ เตือนว่า “หากจีนออกมาตรการจำกัดการนำเข้าและส่งออกครั้งใหญ่ โดยอนุญาตให้เฉพาะอาหารจำเป็นและเชื้อเพลิงเข้าประเทศจีน จะก่อให้เกิดความกังวลเรื่องอุปทานและความไม่สงบในสังคม โดยสมมุติฐานดังกล่าวมีแนวโน้มจะทำให้สกุลเงินดอลลาร์ไต้หวันอ่อนค่าลง และกระทบต่อทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์และหุ้น”
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลของอมุนดี ซึ่งเตือนว่าความเป็นไปได้ในการปิดกั้นทางเศรษฐกิจของไต้หวันอาจสร้างความหวาดกลัวให้กับตลาดต่าง ๆ โดยหากจีนสั่งห้ามนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากไต้หวันก็จะจุดชนวนให้เกิดปรากฎการณ์เทขายระดับภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ในทวีปเอเชียและนำไปสู่ภาวะขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ
นายกาเบรียล วิลเดา กรรมการผู้จัดการบริษัทเทเนโอ (Teneo) ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาธุรกิจระดับโลกระบุว่า การสั่งห้ามนำเข้าสินค้าทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่น่าจะเกิด พร้อมระบุว่า แม้นายไล่ ชิงเต๋อ ผู้ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันจากพรรค DPP จะมีประวัติเรื่องการสนับสนุนให้ไต้หวันเป็นเอกราช แต่นโยบายการหาเสียงประธานาธิบดีของนายไล่นั้นค่อนข้างเป็นกลาง
ด้านนางอลิเชีย การ์เซีย เฮอร์เรโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียแปซิฟิกของบริษัทนาตาซิส (Nataxis) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไต้หวันจะขยายตัวเร็วขึ้นในปี 2567 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้กับรัฐบาลไต้หวันภายใต้การนำของพรรค DPP เนื่องจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของไต้หวัน แม้สถานการณ์ระหว่างไต้หวันกับจีนยังคงตึงเครียด