ระเบิดถล่มโบสถ์ศรีลังกา ดับ 290
เกิดเหตุระเบิดในวันอีสเตอร์ที่โบสถ์ 3 แห่งและโรงแรมหรูอีก 3 แห่งในศรีลังกา คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 290 รายและมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 450 ราย จากข้อมูลของโรงพยาบาลและตำรวจ นับเป็นเหตุโจมตีรุนแรงที่สุดในศรีลังกานับตั้งแต่สงครามการเมืองจบลงเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ตำรวจระบุกับสื่อรอยเตอร์ว่า ที่โบสถ์เซนต์เซบาสเตียนใน Katuwapitiya ทางเหนือของโคลัมโบ มีผู้เสียชีวิตกว่า 50 ราย โดยในภาพข่าว จะเห็นศพเกลื่อนอยู่บนพื้น มีเลือดไหลนอง และหลังคาพังถล่ม
โดยสื่อรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 25 รายในเหตุโจมตีโบสถ์ใน Batticaloa ซึ่งเป็นจังหวัดทางตะวันตกของประเทศ
โรงแรม 3 แห่งที่ถูกโจมตีในครั้งนี้คือ โรงแรมแชงกรีลา โคลัมโบ ,โรงแรมคิงสเบอรี และโรงแรมซินนามอน แกรนด์ โคลัมโบ ยังไม่มีความชัดเจนว่ามีผู้เสียชีวิตในโรงแรมทั้งสามแห่งหรือไม่
โดยทางการรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตที่เป็นชาวต่างชาติ 35 ราย
ยังไม่มีการอ้างความรับผิดชอบในเหตุโจมตีครั้งนี้ในประเทศซึ่งเคยเกิดสงครามกลางเมืองนานหลายทศวรรษกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทมิฬจนถึงปี 52 โดยในช่วงเวลาเหล่านั้น จะเกิดเหตุระเบิดในเมืองหลวงของศรีลังกาอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นเหตุการณ์ปกติ
นายกรัฐมนตรีรานิล วิกกรมสิงเหเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติที่บ้านของเขาในวันเดียวกับที่เกิดเหตุระเบิด
“ ผมขอประณามการโจมตีอย่างคนขลาดกับประชาชนของเขาในวันนี้ ผมขอให้ชาวศรีลังกาที่อยู่ในช่วงเวลาของโศกนาฎกรรมคงความเป็นหนึ่งเดียวกันและแข็งแกร่ง” เขาระบุในทวีต
“โปรดหลีกเลี่ยงการกระพือรายงานข่าวที่ไม่ได้มีการยืนยัน และการคาดคะเนเหตุการณ์ไปเอง รัฐบาลจะมีมาตรการอย่างรวดเร็วทันทีเพื่อยับยั้งสถานการณ์” หนึ่งในเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่โบสถ์เซนต์แอนโธนีในเมือง Kochcikade โคลัมโบ
ภาพโบสถ์เซบาสเตียนที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กชี้ให้เห็นสภาพในโบสถ์ที่ถูกทำลาย เลือดที่เลอะบนม้านั่งในโบสถ์และบนพื้น และมีการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ
ในปี 61 เกิดเหตุร้ายถึง 86 ครั้งที่เป็นการแบ่งแยกเชื้อชาติ ภัยคุกคาม และความรุนแรงต่อชาวคริสต์ อ้างอิงจากข้อมูลของ National Christian Evangelical Alliance of Sri Lanka ( NCEASL) ซึ่งเป็นตัวแทนโบสถ์มากกว่า 200 แห่ง และองค์กรคริสต์อื่นๆ
ทั้งนี้ ประชากรในศรีลังกาประมาณ 22 ล้านคน เป็นชาวพุทธ 70% นับถือศาสนาฮินดู 12.6% ขณะที่ 9.7% เป็นมุสลิม และ 7.6% เป็นชาวคริสต์ อ้างอิงจากข้อมูลสำมะโนประชากรของประเทศในปี 55.
