ดิสนีย์เผยราคา/วันเปิดตัวสตรีมมิ่ง
วอลต์ ดิสนีย์ตั้งราคาบริการสตรีมมิ่งวิดีโอต่ำกว่าเน็ตฟลิกซ์ ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ท้าทายเจ้าตลาดผูัให้บริการสตรีมมิ่ง และดึงดูดใจหลายครอบครัวให้เป็นสมาชิกรายเดือน
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ดิสนีย์ระบุว่าบริการสตีมมิ่งที่ไม่มีพิษภัยกับครอบครัวจะมีราคาอยู่ที่ 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน หรือ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี โดยจะมีรายการโทรทัศน์ใหม่และคลาสสิก และภาพยนตร์จากค่ายดิสนีย์เองที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพื่อเป็นการท้าทายเน็ตฟลิกซ์ที่ครองตลาดอยู่เดิม
โดยบริษัทระบุว่า แพ็คเกจสมาชิกรายเดือนที่ไม่มีโฆษณาที่เรียกว่า ดิสนีย์+ มีกำหนดจะเปิดตัวในวันที่ 12 พ.ย.ปีนี้ และในตลาดทั่วโลก นอกจากภาพยนตร์และรายการทีวีของดิสนีย์เองแล้ว จะมีโปรแกรมจากมาร์เวลซูเปอร์ฮีโร่ , สตาร์ วอส์ กาแลกซี , บริษัทพิกซาร์ ผู้ผลิตแอนิเมชั่น , ช่องเนชั่นแนล จีโอกราฟิก และเดอะซิมป์สัน
“ ที่เรากำลังผลักดันไปข้างหน้าเป็นกลยุทธ์ที่ดุดัน” บ็อบ อิเกอร์ ซีอีโอของดิสนีย์กล่าวกับนักวิเคราะห์ในงานแถลงข่าว “ เราเอาจริงมากและทั้งหมดรวมอยู่ในนี้ ”
บริษัทตั้งเป้าจำนวนสมาชิกไว้ที่ 60 – 90 ล้านรายและมีกำไรในปีงบประมาณปี 67 โดยบริษัทมีแผนจะใช้เงินสดกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเป็นเงินลงทุนรายการในปีงบประมาณ 63 และอีกประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 67
โดยราคาค่าบริการต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์จากวอลสตรีทคาดการณ์ไว้คือ 7.50 ดอลลาร์สรัฐฯต่อเดือน อ้างอิงจากโพลของรอยเตอร์ และดูจะเป็นที่น่าดึงดูดใจลูกค้าได้มากขึ้น
เพื่อให้มีสมาชิกจำนวนมาก ดิสนีย์ระบุว่าได้ทำข้อตกลงกับ Roku Inc และโซนีเพื่อช่วยกระจายบริการสตรีมมิ่ง ดิสนีย์+ บนอุปกรณ์สตรีมมิ่ง และระบบเกมคอนโซล และคาดการณ์ว่าจะอยู่บนสมาร์ททีวี แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่นๆ โดยบริษัทไม่ได้เอ่ยถึงว่า จะสามารถสตีมมิ่งได้บนบริการวีดีโอของแอปเปิล
ดิสนีย์เปิดตัวบริการกับนักวิเคราะห์ของวอลสตรีทที่สำนักงานใหญ่ในเบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ด้วยวีดีโอที่นำเสนอคอนเทนต์ได้อย่างหลากหลาย โดยมีการโชว์คลิปจากรายการทีวี และภาพยนตร์ Frozen และ Lion King จนถึง Avatar และ The Sound of Music
การปรับเปลี่ยนจากค่ายหนังเด็ก จากเจ้าตลาดเคเบิลทีวีเพื่อจะเป็นผู้นำในการสตรีมมิ่งถือเป็นตำนานบทสุดท้ายของอิเกอร์ โดยเขากล่าวกับนักวิเคราะห์วอลสตรีทว่า เขาจะไม่ขยายเวลาสัญญาการทำงานของเขาที่จะสิ้นสุดในปี 64 ออกไป และจะมุ่งทำงานกับบอร์ดบริหารเพื่อให้แผนการสำเร็จ
เพื่อเป็นการเสริมสร้างศักยภาพ ดิสนีย์เพิ่งซื้อภาพยนตร์และรายการทีวีจาก Fox และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ Avatar
ดิสนีย์+ จะมีภาพยนตร์จากห้องสมุดภาพยนตร์ครอบครัวคลาสสิกของดิสนีย์ ซึ่งจะรวมถึงคอนเทนต์ดั้งเดิมอย่างเช่น ซีรีส์ภาพยนตร์ไลฟ์แอคชั่น สตาร์ วอส์ ชื่อ Mandalorian , รายการที่เน้นตัวร้ายอย่างโลกิของมาร์เวล และภาพยนตร์แอนิเมชั่น Monsters at Work โดยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Monster Inc ของ Pixar
นอกจากนี้ ภาพยนตร์รีเมคจากดิสนีย์ เช่น Lady and theTramp ก็จะอยู่ในแอปดิสนีย์+ ด้วยเช่นกัน ขณะที่ภาพยนต์ของดิสนีย์ถ้าออกจากโรงภาพยนต์และขายเป็นโฮมวีดีโอแล้วก็จะมาอยู่ในดิสนีย์+.