เรื่องควรรู้ในการเลือกตั้งอินเดีย
ในวันที่ 11 เม.ย. จะมีการเลือกตั้งส.ส.ในอินเดีย โดยการเลือกตั้งจะใช้เวลาตั้งแต่ 11 เม.ย. – 19 พ.ค.และจะมีการนับคะแนนในวันที่ 23 พ.ค.
จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 900 ล้านคน ทำให้การเลือกตั้งในอินเดียถือเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิจากพรรค BJP จะต่อสู้กับพรรคฝ่ายค้านหลัก และพรรคในท้องถิ่น
ผู้นำของสองพรรคทรงอิทธิพลซึ่งเป็นคู่แข่งในภูมิภาครวมตัวกันก่อตั้งพรรคแนวร่วมเพื่อโค่นพรรค BJP ในรัฐอุตตรประเทศ ซึ่งเป็นรัฐทางเหนือที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ และเป็นรัฐสำคัญที่มีอิทธิพลสูงสุดในการเลือกตั้ง โดย 1 ใน 6 ของชาวอินเดียอาศัยอยู่ในรัฐนี้ และทำให้มีส.ส.มากถึง 80 คน และเป็นหนึ่งในหลายรัฐที่มีการแบ่งแยกทางสังคมมากที่สุดในอินเดีย
สภาล่างของอินเดียมี 543 ที่นั่ง และพรรคใดหรือพรรคแนวร่วมใด ได้ที่นั่งในสภาอย่างน้อย 272 ที่นั่งจะได้จัดตั้งรัฐบาล
สิ่งที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ในอินเดียโดดเด่นและแตกต่าง คือ
– เป็นการเลือกตั้งที่มโหฬาร คือมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุมากกว่า 18 ปีมากถึง 900 ล้านคนที่จะไปใช้สิทธิที่คูหาเลือกตั้งนับล้านแห่ง โดยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้มากกว่าประชากรในยุโรปและออสเตรเลียรวมกัน
– ใช้เวลานานมาก โดยการเลือกตั้งของอินเดียจะมีขึ้นในวันที่ 11 เม.ย. , 18 เม.ย. , 23 เม.ย., 29 เม.ย. , 6 พ.ค. , 12 พ.ค. และ 19 พ.ค. โดยในหลายรัฐจะมีการเลือกตั้งหลายรอบ
ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอินเดียในปี 2494 – 2495 ใช้เวลานาน 3 เดือนจึงเสร็จสมบูรณ์ การเลือกตั้งในปี 2505 – 2532 ใช้เวลา 4 – 10 วัน โดยการเลือกตั้งปี 2523 ที่ใช้เวลา 4 วัน เป็นการเลือกตั้งที่ใช้เวลาน้อยที่สุดของอินเดีย
– ใช้งบประมาณมหาศาล โดยศูนย์การศึกษาสื่ออินเดียประเมินว่าพรรคการเมืองและผู้ลงสมัครใช้เงินไปมากถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 159,000 ล้านบาท ในการเลือกตั้งปี 57 และในครั้งนี้คาดว่าอาจจะสูงขึ้นเป็นสองเท่า
สถานะการเงินของพรรคการเมืองในอินเดียยังคงคลุมเครือไม่ชัดเจน แม้ในความเป็นจริง พวกเขาถูกบังคับให้ต้องแสดงรายได้ของพรรคก็ตาม
เมื่อปี 61 รัฐบาลของนายกฯโมดิออกพันธบัตรเลือกตั้ง ทำให้ธุรกิจและบุคคลสามารถบริจาคเงินให้พรรคการเมืองโดยไม่ระบุตัวตนได้ มีผู้บริจาคกับพันธบัตรนี้เกือบ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจากการรายงาน เงินส่วนใหญ่ไหลเข้าพรรค BJP
-.เสียงของผู้หญิงจะมีอิทธิพลมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหญิงในอินเดียมีแนวโน้มจะออกมาใช้สิทธิมากกว่าผู้ชาย ทำให้ช่องว่างระหว่างเพศหดตัวลง โดยในการเลือกตั้งปี 57 จำนวนผู้มาใช้สิทธิของผู้หญิงอยู่ที่ 65.3% ขณะที่ผู้ชายอยู่ที่ 67.1%
พรรคการเมืองจึงมุ่งนำเสนอนโยบายเอาใจฐานเสียงผู้หญิง ทั้งเงินกู้ยืมการศึกษา แก๊สหุงต้มฟรี หรือจักรยานสำหรับผู้หญิง
-พรรคการเมืองใช้เงินแบบประชานิยม ทำให้มีการแข่งขันใช้เงินจูงใจประชาชนระหว่างพรรคการเมืองมากขึ้น โดยรัฐบาลนายกฯโมดิประกาศโอนเงินสดให้เกษตรกรและรับภาระหนี้เกษตรกร นอกจากนี้ ยังสัญญาจะให้โควต้างานมากขึ้น ขณะที่ราหุล คานธีสัญญาจะประกันรายได้ขั้นต่ำสำหรับคนจนหากพรรคของเขาได้รับชัยชนะ
ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารประเทศของนายกฯโมดิ เศรษฐกิจอินเดียย่ำแย่ลง รายได้เกษตรกรลดลงจากผลผลิตราคาตกต่ำและราคาโภคภัณฑ์ลดลง ทำให้เกษตรกรมีหนี้สินและเกิดความไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น นอกจากนี้ ภาษีสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ส่งผลกระทบกับธุรกิจ SME ตัวเลขส่งออกลดลง การว่างงานเพิ่มขึ้น และรัฐบาลถูกกล่าวหาว่ามีการปกปิดข้อมูลเรื่องการจ้างงาน และที่แย่กว่านั้นคิอ ธนาคารที่เป็นของรัฐกำลังจมดิ่งลงในกองหนี้เสียจำนวนมาก.