ทรัมป์ถึงฮานอย พร้อมประชุม
ประธานาธิบดีคิมจองอึนแห่งเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯเดินทางถึงเวียดนามแล้วทั้งคู่ในวันที่ 26 ก.พ. เป็นคืนก่อนการประชุมจริงในวันรุ่งขึ้น เพื่อเจรจากันในประเด็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
โดยประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางโดยเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน (เครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี) ถึงกรุงฮานอยก่อนเวลา 21.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของเวียดนาม หลังจากออกเดินทางข้ามโลกมาจากกรุงวอชิงตัน
“ เพิ่งมาถึงเวียดนาม ” เขาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ “ ขอบคุณพวกคุณทุกคนสำหรับการต้อนรับที่ยอดเยี่ยมในฮานอย คนเยอะมาก และเต็มไปด้วยความรัก ! ”
มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเวียดนามและสหรัฐฯรอต้อนรับเขา และขบวนรถของทรัมป์ขับผ่านชาวเวียดนามที่ยืนเรียงรายอยู่สองข้างทางพร้อมโบกธงชาติเวียดนาม สหรัฐฯและเกาหลีเหนือตลอดระยะทางไปโรงแรม J.W. Marriott ซึ่งเป็นที่พักของทรัมป์ระหว่างการประชุม
ผู้นำเกาหลีเหนือมาถึงก่อนหน้านั้น หลังจากใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 วันครึ่งโดยทางรถไฟมาจากกรุงเปียงยางผ่านจีน และเมื่อมาถึงสถานีชายแดนในเวียดนาม เขาก็เดินทางถึง 170 ก.ม.โดยรถยนต์มาถึงกรุงฮานอย และน้องสาวของเขาคือคิมโยจอง ร่วมเดินทางมาด้วย
ผู้นำทั้งสอง ซึ่งสามารถสร้างความสัมพันธ์ได้อย่างน่าประหลาดใจในการประชุมครั้งแรกของพวกเขาที่สิงคโปร์เมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว จะพบกันเพื่อพูดคุยตัวต่อตัวในช่วงเย็นของวันที่ 27 ก.พ. ตามด้วยการรับประทานอาหารมื้อค่ำร่วมกัน และทั้งสองประเทศจะมีแขกและล่ามของตัวเองรวมอยู่ด้วย โดยซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ทั้งสองคนจะพบกันอีกครั้งในวันที่ 28 ก.พ.
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานว่า การประชุมจะจัดขึ้นที่โรงแรม Sofitel Legend Metropole
การประชุมครั้งที่ 2 ของทั้งสองคนมีขึ้นหลังจาก 8 เดือนผ่านไปที่มีการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการพบกันเป็นครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีทั้งสอง
ขณะที่การประชุมครั้งแรกมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทลายกำแพงระหว่างกันที่มีมานานหลายทศวรรษหลังสงคราม และความเกลียดชังระหว่างทั้งสองประเทศ แต่ในครั้งนี้ จะมีแรงกดดันมากขึ้นกับทั้งสองฝ่ายหลังมีข้อผูกพันที่พวกเขาทำไว้ที่สิงคโปร์ นั่นคือการทำงานร่วมกันเพื่อให้มีการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีอย่างแท้จริง
นักวิจารณ์ในสหรัฐฯ ได้เตือนว่า ต้องใช้วิธีการเฉพาะเจาะจงเพื่อควบคุมเกาหลีเหนือให้มีการปลดอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ.