ลิปสติกชี้วัดศก.ไม่ได้เหมือนเดิม
จากที่เคยเป็นมาตรวัดดีมานด์ของผู้บริโภค ลิปสติกดูจะเสียคุณสมบัติการเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจไปท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม จากความเห็นของนักวิเคราะห์
‘ ดัชนีลิปสติก’ เคยเป็นข้อมูลสำคัญของ Leonard Lauder อดีตประธานเครื่องสำอางแบรนด์เอสเต้ ลอเดอร์ หลังเกิดฟองสบู่บริษัทอินเทอร์เน็ตแตกในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 ส่งให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซวนเซ โดยเขาสังเกตได้ว่าผู้หญิงงดซื้อสินค้าหรูหราราคาแพงมาซื้อสินค้าที่มีราคาสมเหตุสมผลกว่าอย่างลิปสติก
ตั้งแต่นั้น ยอดขายลิปสติกก็มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เมื่อยอดขายลิปสติกพุ่งขึ้น ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความตระหนักรู้มากขึ้นในการเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในความเป็นจริง ซีอีโอของลอรีอัล บริษัทยักษ์ใหญ่เครื่องสำอางของฝรั่งเศสชี้ว่า ‘lipstick effect’ ในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นถึงดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น
ในจีน
“ เป็น lipstick effect ที่รู้จักกันดี บางครั้งเมื่อผู้คนใช้จ่ายซื้อของที่มีราคาแพงอย่างรถยนต์ หรืออพาร์ทเมนต์น้อยลง พวกเขาจะมีรายได้เหลือมากขึ้นและใช้ไปกับผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม” Jean – Paul Agon กล่าวกับสื่อ CNBC ในสัปดาห์นี้ “ นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเราอย่างที่สุด”
คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมลิปสติกจะมีมูลค่าในตลาดถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 2566 อ้างอิงจากบริษัทวิจัยตลาด TechSci Research อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เผชิญกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อาจมีการตั้งคำถามกับการพึ่งพาดัชนีลิปสติก ที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
อ้่างอิงจากบริษัทวิจัย Euromonitor ที่มีสำนักงานในกรงลอนดอน คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์ดูแลปากทั่วโลก (ทั้งลิปสติก ลิปกลอส และลิปไลเนอร์) จะมียอดขายเติบโตขึ้น 18% ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2565 แม้การเติบโตทั่วโลกจะลดลง และในระหว่างการถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผลิตภัณฑ์ดูแลความงามปากมียอดขายลดลงเกือบ 3% อ้างอิงจากบริษัทวิจัยตลาด Mintel
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ดีมานด์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับดีมานด์ที่ลดลงในปี 2550 – 2552 ค่อยๆทำให้หลักอ้างอิงดั้งเดิมของ Lauder ทรุดตัวลง
ขณะเดียวกัน ความนิยมที่เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์ความงามประเภทอื่น กำลังลดทอนความสำคัญของยอดขายลิปสติกในฐานะดัชนีชี้วัด ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามที่เติบโตอย่างแท้จริงในระหว่างการถดถอยทางเศรษฐกิจและคาดว่าจะเติบโต 3% จนถึงปี 2563 อ้างอิงจากนักวิเคราะห์ที่ Mintel
ช่วงเศรษฐกิจถดถอยล่าสุด “ ช่วยหนุนการเติบโตของยาทาเล็บและผลิตภัณฑ์ดูแลเล็บ เนื่องจากผู้หญิงมีทางเลือกที่จะซื้อมาใช้ที่บ้านมากขึ้น แทนที่จะไปทำเล็บที่ร้าน” Alison Gaither นักวิเคราะห์ที่ Mintel ระบุ เธอเสริมว่าที่จริงแล้ว ผลิตภัณฑ์ดูแลเล็บมียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 12% ในช่วงเวลานั้น
การวิเคราะห์ของ Mintel ชี้ว่า นวัตกรรมในตลาดทำให้ยอดขายสินค้าเพื่อความงามพุ่งขึ้น แม้เศรษฐกิจจะทรุดตัว โดยผู้บริโภค “ อาจพยายามลองผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกกว่า และเมื่อพวกเขามีรายได้มากขึ้น ก็จะเปลี่ยนไปซื้ออีกแบรนด์ที่มีราคาสูงขึ้น ” Gaither กล่าว โดยเสริมว่า “ โดยรวมแล้ว มักมีความภักดีกับแบรนด์ในสินค้าประเภทนี้” ซึ่งถือว่ามากกว่าเพียงพอที่จะชดเชยยอดขายที่ลดลงของลิปสติก.