ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งสุดใน 10 ปีในปี 61
นักลงทุนต่างพอใจที่ผ่านปี 2561 มาได้ เพราะเป็นปีที่ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกดิ่งเหวที่สุดในรอบทศวรรษ
โดยดัชนี FTSE 100 ปิดการซื้อขายในวันสิ้นปี ดิ่งลงในแดนลบถึง 12% ลงมาอยู่ที่ 6,728.13 06 จุด
ตลาดหุ้นในยุโรปและเอเชียก็อยู่ในแดนลบเช่นกันในปี 61 ขณะที่ดัชนีหลักของสหรัฐฯมีผลประกอบการที่ย่ำแย่ที่สุด นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551 เป็นต้นมา
โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดการซื้อขายสิ้นปีดิ่งลงมาถึง 5.6% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลงมาถึง 6.2% และดัชนีอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Nasdaq ดิ่งลง 3.9% สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นดิ่ง
นักวิเคราะห์ยังได้ชี้ถึงความผันผวนทางการเมืองของสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นว่าเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญเช่นกัน
เมื่อผ่านช่วงสิ้นปี รัฐบาลบางส่วนของสหรัฐฯยังคงชัทดาวน์ เนื่องจากความขัดแย้งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เรียกร้องของบประมาณในการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯกับเม็กซิโก เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย แต่ทางสภาคองเกรสไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเขย่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระหว่างปีที่ผ่านมาด้วยการปรับขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีน และจีนก็โต้ตอบด้วยมาตรการภาษีเช่นกันตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นมา โดยเมื่อช่วงต้นเดือนธ.ค. ผู้นำทั้งสองประเทศตกลงที่จะระงับภาษีเพิ่มเติมเป็นเวลา 90 วัน เพื่อรอผลการพูดคุยร่วมกัน
นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯยังได้กล่าวตำหนิการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหลายครั้งในปี 61 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ยุโรปเองก็ถูกเขย่าจากหลายประเด็นทางการเมือง ทั้งความขัดแย้งด้านงบประมาณของอิตาลีกับทางสหภาพยุโรป อำนาจทางการเมืองที่ถดถอยลงของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลในเยอรมนี การประท้วง ‘เสื้อกั๊กเหลือง’ ที่ลากยาวมาหลายสัปดาห์ในฝรั่งเศส และอีกประเด็นสำคัญคือเบร็กซิทที่ยังตกลงกันไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จัดว่าน้อยกว่าที่อื่นๆ เพราะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลทรัมป์ จากกฎหมายลดภาษีและการจ้างงานมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ผ่านสภาในเดือนธ.ค. 60
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ดัชนีฮั่งเส็งในฮ่องกงปิดลดลงเกือบ 14% ขณะที่ดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่นดิ่งฮวบลงเกือบ 15% ในปี 61 และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิท (SSE) ของจีนดิ่งเหวลงถึง 25% ตลอดทั้งปี
ในบางตลาด รวมทั้งสหรัฐฯ หุ้นขยับขึ้นมาในการซื้อขายก่อนวันปีใหม่ โดยได้อานิสงส์จากการมองในแง่ดีขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ – จีน เห็นได้ชัดว่านักลงทุนในสหรัฐฯ มีความสบายใจและเชื่อมั่นมากขึ้นจากความเห็นล่าสุดของทรัมป์ซึ่งทวีตว่า เขามีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนอย่างยาวนานและเป็นไปด้วยดี และความเป็นไปได้ของการตกลงทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศมีความก้าวหน้าไปมาก.