สหรัฐฯ – จีนคุยการค้าไม่คืบหน้า

การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจบลงโดยมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่สงครามการค้าระหว่างสองประเทศกำลังตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า สองวันของการเจรจาครอบคลุมถึงวิธีการที่จะทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมีความเป็นธรรม มีสมดุลและพึ่งพาอาศัยกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีสัญญาณของความก้าวหน้าเกิดขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อวันที่ 23 ส.ค.สหรัฐฯบังคับใช้มาตรการภาษีรอบที่ 2 กับสินค้านำเข้าของจีนที่มีมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจีนได้ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีมูลค่าเท่ากันกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯทันที
โดยสหรัฐฯขู่ว่าจะมีมาตรการภาษีเพิ่มเติมเป็นรอบที่ 3 มููลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะสามารถบังคับใช้อย่างเร็วคือในเดือนหน้า ถ้ามาตรการนี้เกิดขึ้นจริง จีนระบุว่าจะตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีเพิ่มอีก 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
การเจรจาพูดคุยระหว่างสหรัฐฯ และจีนในวอชิงตันในครั้งนี้ นับเป็นการปรึกษาหารือกันต่อหน้าเป็นครั้งแรกระหว่างทั้งสองประเทศตั้งแต่เดือนมิ.ย.เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม มีความหวังไม่มากนักว่าการพูดคุยจะมีความก้าวหน้า โดยประธานาธิบดีทรัมป์ระบุเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ว่า เขาไม่คาดหวังถึงผลลัพธ์จากการพูดคุยมากนัก
Lindsay Walters รองผอ.ฝ่ายสื่อของทำเนียบขาวระบุว่า การพูดคุยยังรวมถึงประเด็นโครงสร้างในจีน อย่างนโยบายเกี่ยวทรัพย์สินทางปัญญา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี
โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวว่าเขาต้องการหยุดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯให้กับจีน และปกป้องงานให้ชาวอเมริกัน
ในแถลงการณ์ย่อ รมว.กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า ผู้แทนของจีนได้มีการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์และตรงไปตรงมาในหลายประเด็นการค้า
“ ทั้งสองฝ่ายจะยังมีการติดต่อกันเกี่ยวกับการจัดการในอนาคต”
ทั้งนี้ ทรัมป์วิจารณ์และจับผิดจีนมานาน โดยเขาได้สั่งให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของจีนในเดือนส.ค.ปี 2560
ในการตั้งกำแพงภาษีกับการนำเข้าสินค้าจีน เขาหวังว่าจะทำให้บริษัทของสหรัฐฯมีชีวิตที่ง่ายขึ้น ทำให้สินค้าของพวกเขามีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกันในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม บริษัทสหรัฐฯจำนวนมากและกลุ่มอุตสาหกรรมได้ยื่นคำร้องต่อผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ว่าธุรกิจของพวกเขากำลังถูกทำลาย
หลายคนกังวลว่ามาตรการภาษีตอบโต้จากจีนจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเชามีราคาแพงขึ้น และลดความต้องการจากผู้บริโภคลง และธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าจากจีนต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้น
มาตรการภาษีเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “America First” ของประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ทั้งจากเม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรป ทำให้ทุกประเทศขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกัน จีนมีแผนจะยื่นคำร้องในกรณีการปรับขึ้นภาษีกับองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การวินิฉัยกรณีความขัดแย้งทางการค้าทั่วโลก โดยรมว.กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า มีความข้องใจว่าสหรัฐฯกำลังละเมิดกฎของ WTO
ทั้งนี้ จีนยื่นคำร้องครั้งแรกที่ WTO เมื่อเดือนก.ค.ในช่วงเวลาที่ทรัมป์บังคับใข้มาตรการภาษีรอบแรกกับจีน.