ศก.ญี่ปุ่นโตเกินคาด แต่การค้ายังเสี่ยง
เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเติบโตเกินคาดการณ์ในไตรมาส 2 โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายผู้บริโภคและฟื้นขึ้นจากการหดตัวในไตรมาสก่อนหน้า แต่ความตึงเครียดทางการค้ายังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อการส่งออกและแนวโน้มการลงทุน
เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตด้วยตัวเลขเติบโตต่อปี 1.9% ในไตรมาสเดือนเม.ย.-มิ.ย. สูงกว่าตัวเลขประเมินเฉลี่ยคือ 1.4% ต่อปี ปรับเพิ่มขึ้นจากที่เคยหดตัวลงเหลือ 0.9% ในไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นการหยุดสถิติการเติบโตต่อเนื่องของเศรษฐกิจญี่ปุ่นอีกครั้ง หลังเคยบูมสุดๆในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ในทศวรรษปี 1980
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเติบโตต่อเนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนทางธุรกิจ แต่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราการเติบโตในอนาคต เนื่องจากเกิดรอยร้าวระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ที่เริ่มใช้นโยบายการค้าที่ดูจะเป็นการขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก
หลังการประชุมระหว่าง Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กับโทชิมิตสึ โมเตหงิ รมว.เศรษฐกิจของญี่ปุ่น ผลลัพธ์ที่ออกมาดูท่าจะยังคงอยู่ในสภาพเดิม โดยญี่ปุ่นต้องการทำข้อตกลงการค้าเสรีพหุภาคี มากกว่าที่จะเป็นข้อตกลงการค้าทวิภาคี ซึ่งขัดแย้งอย่างชัดเจนกับความต้องการของสหรัฐฯ
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีเติบโต 0.5% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่ 0.3% โดยไตรมาสเดือนม.ค. – มี.ค. จีดีพีของญี่ปุ่นหดตัวลงมาอยู่ที่ 0.2%
การใช้จ่ายภาคเอกชน ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 60% ของจีดีพี เป็นแรงหนุนสำคัญที่สุดที่ทำให้มีการเติบโต 0.7% ในไตรมาสเดือนเม.ย.- มิ.ย. สูงกว่าค่าประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 0.2% และถือเป็นการฟื้นตัวหลังเคยร่วงไปอยู่ที่ 0.2% ในไตรมาสแรกของปีนี้
ตัวเลขการใช้จ่ายเงินทุน ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในลำดับที่ 2 ที่หนุนการเติบโต อยู่ที่ 1.3% เติบโตเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสเดือนต.ค.- ธ.ค.ปี 2559 สูงกว่าค่าประเมินเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6%
อย่างไรก็ตาม ดีมานด์ภายนอก หรือยอดส่งออกลบด้วยยอดนำเข้าหดตัวลงมาอยู่ที่ 0.1%
ทั้งนี้ สหรัฐฯพยายามกดดันญี่ปุ่นให้มีการทำข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีเพื่อเป็นการลดตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ให้น้อยลง แต่ญี่ปุ่น กล่าวย้ำว่า ต้องการให้มีการเจรจาทางการค้าแบบพหุภาคีมากกว่า ซึ่งถือเป็นความขัดแย้งกับสหรัฐฯอย่างเห็นได้ชัด
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯพยายามที่จะให้มีการเจรจาอีกครั้งระหว่างสหรัฐฯกับประเทศอื่นๆ เพื่อควบคุมวิธีการทางการค้าที่เขาระบุว่าไม่เป็นธรรมกับบริษัทและแรงงานของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
นโยบายของผู้นำสหรัฐฯ ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนเพิ่มขึ้น และส่งผลให้สองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมีการตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษีอยู่ในตอนนี้.