วางเพลิงรถหญิงซาอุฯ หลังยกเลิกแบนขับรถ
เจ้าหน้าที่ตำรวจของซาอุดิอาระเบีย ตามล่ามือวางเพลิงที่เผารถยนต์ของผู้หญิงรายหนึ่ง ซึ่งเหตุเกิดขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ หลังมีการยกเลิกการห้ามไม่ให้ผู้หญิงขับรถมาเป็นเวลายาวนาน
Salma al-Sherif พนักงานแคชเชียร์วัย 31 ปี ที่ทำงานอยู่ใกล้กับเมืองเมกกะอันศักดิ์สิทธิ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า รถของเธอถูกวางเพลิงโดยชายที่ต่อต้านการมีสิทธิขับรถของผู้หญิง
เจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองเมกกะระบุผ่านแถลงการณ์ที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ว่า “ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กำลังทำการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ เรากำลังตามหาผู้กระทำความผิด ”
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ผู้หญิงต่างออกมาเฉลิมฉลองเนื่องจากการจับพวงมาลัยเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี เนื่องจากทางซาอุฯ ซึ่งมีความอนุรักษ์นิยมมากที่สุด ได้ออกกฎหมายห้ามไม่ให้ผู้หญิงขับรถมาเป็นเวลานาน
ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งให้เหตุผลด้านความเหมาะสมของกฎหมายดังกล่าว โดยระบุว่า การอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถ จะกลายเป็นการส่งเสริมความปนเปทางด้านเพศ และก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงในภายหลัง
Salma al-Sherif ระบุว่า เธอต้องเผชิญกับคำดูถูกจากผู้ชายในละแวกที่อยู่อาศัย ภายหลังจากที่เธอเริ่มขับรถเพื่อลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของเธอ
เธอให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรายวัน Okaz ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลว่า “ ฉันต้องใช้เงินครึ่งหนึ่งจากเงินเดือน 1,067 ดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือ 35,424 บาท) ไปกับคนขับรถ เพื่อให้เขาพาฉันไปยังที่ทำงาน และขับรถให้กับพ่อแม่ที่แก่ชราของฉัน ”
“ แต่นับตั้งแต่วันแรกที่ฉันเริ่มขับรถ ฉันกลับถูกผู้ชายว่าร้ายสารพัด ”
Sherif ได้รับแรงสนับสนุนและกำลังใจล้นหลามจากชาวซาอุฯ บนพื้นที่โซเชียลมีเดีย โดยผู้คนส่วนใหญ่ได้โพสต์ภาพรถของเธอที่กำลังถูกเผา และประนามว่าการโจมตีในลักษณะนี้คือการกระทำของผู้ก่อการร้าย
สื่อท้องถิ่นไม่ได้ระบุว่า รถของเธอจะได้รับการคุ้มครองจากประกันหรือไม่
ด้านเจ้าหน้าพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงการปฏิรูปการขับขี่บนท้องถนนว่าได้รับการยอมรับทางศาสนาแล้ว พร้อมด้วยสภาศาสนาสูงสุดของประเทศได้เน้นย้ำว่า การยกเลิกการแบนในครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปตามครรลองของค่านิยมในศาสนาอิสลาม
แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงต้องระวังการต่อต้านจากผู้ไม่เห็นด้วยที่มีความคิดรุนแรง ท่ามกลางกระแสความคิดเห็นเหยียดเพศที่มีต่อผู้หญิงที่ขับรถ บนโลกโซเชียลมีเดีย
อ้างอิงจากโฆษกของกระทรวงมหาดไทยระบุว่า ผู้หญิงราว 120,000 คน มีการสมัครเพื่อทำใบขับขี่ แต่ยังไม่มีการะบุแน่ชัดว่ามีผู้ที่ได้รับใบขับขี่แล้วทั้งหมดกี่คน
ล่าสุด ผู้หญิงที่ขับรถยนต์ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่ขอเปลี่ยนใบขับขี่จากต่างประเทศเป็นของซาอุฯแทน.