ประชุมทรัมป์-คิมสำเร็จด้วยดี
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ แถลงว่า ประธานาธิบดีคิมจองอึนแห่งเกาหลีเหนือให้คำมั่นในการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 12 มิ.ย. เพื่อทำให้มีการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ ขณะที่สหรัฐฯ สัญญาจะให้หลักประกันด้านความมั่นคงแก่เกาหลีเหนือ
เป้าหมายของการเจรจาของผู้นำทั้งสองตั้งแต่แรกคือการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี และเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ ผู้นำสหรัฐฯระบุว่าสหรัฐฯจะหยุดการร่วมซ้อมรบกับพันธมิตรเก่าแก่อย่างเกาหลีใต้
แต่ทรัมป์และคิมไม่ได้ระบุอย่างเจาะจงมากนักในแถลงการณ์ร่วมที่ลงนามร่วมกันในช่วงท้ายของการประชุมที่สิงคโปร์ และนักวิเคราะห์หลายคนยังคงกังขาว่าข้อตกลงที่ทำร่วมกันในครั้งนี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใดในระยะยาว ที่จะทำให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“ ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นที่จะจัดหาหลักประกันความมั่นคงให้กับเกาหลีเหนือ และผู้นำคิมจองอึนยืนยันและให้คำมั่นที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ” แถลงการณ์ระบุ
หลังจากจับมือทักทายกัน ผู้นำทั้งสองต่างจับแขนของอีกฝ่าย ก่อนที่ทรัมป์จะนำคิมเข้าไปในห้องสมุดที่ซึ่งจะมีแค่ทั้งสองคนและล่ามเท่านั้นในการเจรจากัน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะรู้ได้ภายในนาทีเดียวในการประชุมกับคิมว่าเขาจะบรรลุข้อตกลงหรือไม่
ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวในการแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่า เขาคาดการณ์ว่า กระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์จะเริ่มได้อย่างรวดเร็วมากๆ และจะได้รับการตรวจสอบพิสูจน์จากเจ้าหน้าที่มากมายในเกาหลีเหนือ
โดยไมค์ ปอมเปโอ รมว.กระทรวงต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่จากเกาหลีเหนือจะมีการเจรจากันในรอบติดตามผลในกรอบเวลาที่เร็วที่สุด อ้างอิงจากแถลงการณ์
ทรัมป์ระบุว่า การร่วมซ้อมรบระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้มีค่าใช้จ่ายที่แพงมากและถือเป็นการยั่วยุ การที่เขาสั่งการให้หยุดการซ้อมรบอาจทำให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศต่างพึ่งพากองทัพสหรัฐฯ เป็นเกราะป้องกันด้านความมั่นคง โดยทรัมป์ชี้ว่า จะไม่มีการหวนกลับมาร่วมซ้อมรบอีก นอกเสียจากว่า การเจรจาในอนาคตไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น โดยก่อนหน้านี้ ผู้นำเกาหลีเหนือกล่าวว่า เขาและทรัมป์ได้ตัดสินใจที่จะทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง และโลกจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ในเอกสารไม่ได้ระบุถึงมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯมีต่อเกาหลีเหนือในปัจจุบัน และการทำสนธิสัญญาเพื่อยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ โดยสงครามเกาหลีในช่วงทศวรรษปี 1950 – 1953 ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน และจบลงด้วยการพักรบ
แต่ในแถลงการณ์ร่วมได้ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันพิสูจน์ซากของนักโทษสงครามและทหารที่สูญหายไปในสงคราม เพื่อส่งคืนกลับประเทศบ้านเกิด
ทรัมป์กล่าวว่า เขาได้สร้างสายสัมพันธ์ที่พิเศษมากกับคิม และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือจะแตกต่างไปในอนาคต เขายังได้กล่าวชมผู้นำเกาหลีเหนือว่าเป็นคนฉลาด เป็นนักเจรจาที่มีคุณค่า และเก่งมาก
เขายังได้ยกประเด็นสิทธิมนุษยชนมาพูดกับคิมด้วย และเขาเชื่อว่าผู้นำเกาหลีเหนือต้องการที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
หลังเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ผู้นำสหรัฐฯกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้.