ราคาบ้านสหรัฐฯ พุ่งกว่าเงินเฟ้อ/ค่าจ้าง
จะเกิดการขาดแคลนบ้านที่มีราคาเหมาะสมพอซื้อได้ในปีหน้า ทำให้ราคาบ้านปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแซงหน้าเงินเฟ้อและค่าจ้าง อ้างอิงจากโพลล์นักวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ของรอยเตอร์
หลังจากมูลค่าลดลงมากกว่า 1 ใน 3 เมื่อทศวรรษก่อน จนทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องรุนแรงจนเป็นวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ราคาบ้านฟื้นคืนกลับมา โดยได้แรงหนุนจากตลาดแรงงานที่ก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวและความต้องการที่อยู่อาศัย
แต่จำนวนบ้านก็ไม่สามารถขานรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ ยิ่งทำให้ผู่้คนเป็นเจ้าของบ้านที่สามารถซื้อได้น้อยลง
ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปียังต่ำกว่า 3% ขณะที่ราคาบ้านขยับขึ้นโดยเฉลี่ยมากกว่า 5% ในช่วง 2 – 3 ปีล่าสุด
โพลล์ล่าสุดจากนักวิเคราะห์เกือบ 45 คน ที่จัดทำในวันที่ 16 พ.ค. – 5 มิ.ย. แสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองจะเพิ่มสูงขึ้น 5.7% ในปีนี้
เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 2.8% และเงินเฟ้อ 2.5% ในปี 2561 อ้างอิงจากโพลล์นักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์
คาดการณ์ว่า ราคาบ้านจะเพิ่มขึ้น 4.3% ในปีหน้า และ 3.6% ในปี 2563
“เราไม่ได้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราว ราคาบ้านขยับสูงกว่ารายได้ของครอบครัวมาหลายปีในสหรัฐฯ และขณะที่ดีมานด์อยู่ตัวแล้ว ฝั่งซัพพลายยังคงน้อยอยู่” Sal Guatieri นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสที่ BMO Financial Group
“ผมคิดว่าราคาบ้านจะยังคงสูงกว่ารายได้ครอบครัวต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี และคงต้องใช้เวลากว่าดีมานด์จะชะลอตัวลง และปริมาณซัพพลายบ้านจะค่อยๆเพิ่มขึ้น”
ข้อมูลเดือนเม.ย.ชี้ว่า จำนวนบ้านที่มีอยู่ในตลาดลดลงติดต่อกันนานถึง 35 เดือนแล้วจากข้อมูลพื้นฐานประจำปี ขณะที่ราคาบ้านโดยเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกันนาน 74 เดือน
ประมาณ 80% ของนักวิเคราะห์เกือบ 40 คน ซึ่งตอบคำถามเพิ่มเติมระบุว่า ปริมาณบ้านราคาที่ซื้อหาได้ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดในสหรัฐฯ จะยังคงมีปริมาณเท่าเดิม หรือลดลงจากนี้ต่อไปจนถึง 12 เดือนหน้า
ยอดขายบ้านที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งคิดเป็นประมาณ 90% ของยอดขายในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และจะมีบ้านเฉลี่ย 5.60 ล้านยูนิตในแต่ละไตรมาสของปีนี้ จาก 5.46 ล้านยูนิตในเดือนเม.ย.
จำนวนบ้านในตอนนี้ยังต่ำกว่า 7 ล้านยูนิตในช่วงที่ตลาดบ้านบูม ซึ่งหนุนให้ราคาสูงขึ้นและทำให้ซื้อบ้านได้น้อยลง
“ราคาบ้านในสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงเกินไปนิดหน่อย เมื่อมองในส่วนมาตรวัดราคาประเมินพื้นฐาน เช่น ราคาบ้านโดยเฉลี่ยต่อสัดส่วนรายได้” Brent Campbell นักเศรษฐศาสตร์ประจำ Moody’s Analytics ให้ความเห็น
ราคาในตลาดที่สูงขึ้น ทำให้หลายคนต้องเลือกเช่าบ้านมากกว่าซื้อบ้าน อย่างไรก็ตาม ราคาค่าเช่าบ้านในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ก็แพงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย อ้างอิงจากประมาณ 60% ของนักวิเคราะห์เกือบ 40 คน ซึ่งตอบคำถามเพิ่มเติม
อุปสรรคสำคัญอีกอย่างสำหรับคนซื้อบ้านคือ ราคาดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน อ้างอิงจากโพลล์สำรวจดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านโดยเฉลี่ยเพิ่มเป็น 4.6% ในสิ้นปีนี้ และแตะ 5% ภายในปี 2562
ตัวเลขเหล่านี้ปรับขึ้นมาจากโพลล์ในเดือนก.พ. และมีแนวโน้มจะเป็นไปตามกรอบการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะกระชับบโยบายการเงินให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น มากกว่าที่ธนาคารกลางคาดการณ์ไว้ในช่วงปีล่าสุด
“เพราะดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านยังขยับขึ้นต่อไป ความสามารถในการจ่่ายเงินจึงดูจะแย่ลง” John Goltermann นักเศรษฐศาสตร์ผู้พัฒนาตลาด ประจำ ING กล่าว.