สหรัฐฯขึ้นภาษีโหดเหล็กจีนส่งจากเวียดนาม
เมื่อวันที่ 21 พ.ค.กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กจากเวียดนามซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตในจีนหลังตรวจสอบพบว่า มีการละเมิดคำสั่งการตอบโต้การทุ่มตลาดและการตอบโต้เงินอุดหนุน
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตเหล็กของสหรัฐฯ ซึ่งเคยชนะเรื่องการขึ้นภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและตอบโต้เงินอุดหนุนสินค้าเหล็กของจีนในปี 2558 – 2559 มาแล้ว และผลิตภัณฑ์เหล็กกลับหลั่งไหลเข้ามาจากประเทศอื่นๆ โดยอุตสาหกรรมสหรัฐฯ โต้แย้งว่า ผลิตภัณฑ์จีนเบี่ยงเบนเส้นทางไปที่ประเทศอื่นก่อนนำเข้าสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
โดยกรมศุลกากรสหรัฐฯจะจัดเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสูงถึง 199.76% และอากรตอบโต้สูงถึง 256.44 % ในการนำเข้าเหล็กรีดเย็นจากเวียดนามที่ใช้สารตั้งต้นจากจีน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์
ทั้งนี้ เหล็กทนต่อการกัดกร่อนจากเวียดนามจะถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดถึง 199.43% และอากรตอบโต้การอุดหนุน 39.05% อ้างอิงจากแถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
ทางกระทรวงระบุว่าจะมีการจัดเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุนในอัตราเดียวกันนี้กับเหล็กทนต่อการกัดกร่อนและเหล็กรีดเย็นจากเวียดนาม ซึ่งเริ่มต้นผลิตมาจากเหล็กรีดร้อนของจีน
ภาษีนี้จะจัดเก็บเพิ่มเติมจากอัตราภาษี 25% ในการนำเข้าเหล็ก ซึ่งเป็นผลมาจากการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ Section 232 ของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม
ถึงแม้เหล็ก ซึ่งเป็นประเด็นล่าสุดของการตอบโต้การทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุน จะผ่านกระบวนการแปรรูปในเวียดนามเพื่อผลิตเหล็กทนทานต่อการกัดกร่อน หรือเหล็กรีดเย็นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า กระทรวงพาณิชย์ยินยอมรับคำร้องของบริษัทผู้ผลิตอเมริกันที่ว่า ผลิตภัณฑ์โดยมากถึง 90% จะสร้างสรรค์มาจากจีน
อุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกกำลังดิ้นรนอย่างหนักกับการแก้ไขปัญหาความสามารถในการผลิตที่ล้นทะลัก ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นโรงงานที่ตั้งอยู่ในจีน โดยสินค้าเหล่านี้มีการตั้งราคาให้ต่ำกว่าสินค้าจากประเทศอื่น
มีการตัดสินใจในครั้งนี้ หลังจากการสอบสวนของสหภาพยุโรปเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้วพบว่า เหล็กที่ถูกส่งมาจากเวียดนามเพื่อนำเข้าอียูก็มีการใช้กลยุทธ์ในการเลี่ยงภาษีเช่นกัน
โดยกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า หลังมีการปรับขึ้นภาษีตอบโต้การทุ่มตลากับผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีนในปี 2558 การส่งเหล็กรีดเย็นจากเวียดนามเข้ามาในสหรัฐฯ มีมูลค่าเพิ่มเป็น 215 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จากเดิมเพียง 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่มีการนำเข้าเหล็กทนต่อการกัดกร่อนเพิ่มเป็น 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิม 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
มีกรณีการสอบสวนเกิดขึ้นหลังบริษัทผู้ผลิตเหล็กจากสหรัฐฯ มีการรวมตัวกันยื่นคำร้องต่อหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ โดยบริษัท ArcelorMittal USA, Nucor Corp, AK Steel Holdings Corp และ United States Steel Corp กล่าวหาว่า บริษัทผู้ผลิตเหล็กของจีนเริ่มเบี่ยงเบนการส่งสินค้าไปที่เวียดนามทันที หลังจากมีการปรับขึ้นภาษีในปี 2558.