สหรัฐฯขาดดุลการค้าเพิ่มเดือนก.พ.
สหรัฐฯขาดดุลการค้ามากขึ้นในเดือนก.พ. ถึงแม้การค้าระหว่างประเทศจะสูงเป็นประวัติการณ์ก็ตาม
โดยตัวเลขขาดดุลการค้าอยู่ที่ 57,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.80 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างการส่งออกและการนำเข้าสินค้าและบริการที่สูงที่สุดต่อเดือนนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯรายงาน
ตัวเลขนี้มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พยายามจะใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อมุ่งเป้าจะปรับสมดุลระหว่างการนำเข้าและการส่งออกสหรัฐฯ โดยตัวเลขขาดดุลสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เนื่องจากมีการนำเข้าบริการเพิ่มขึ้น
โดยรวมแล้ว ยอดนำเข้าในเดือนก.พ.อยู่ที่ 262,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 8.21 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากเดือนม.ค.โดยมีตัวเลขการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในรายการต่างๆ เช่น เครื่องบินพลเรือน คอมพิวเตอร์ และอาหาร
ขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 1.7% เป็น 204,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 6.40 ล้านล้านบาท ในเดือนก.พ. โดยได้แรงขับเคลื่อนจากยอดขายน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และยานยนต์
สหรัฐฯมียอดขาดดุลสูงเป็นประวัติการณ์จากสินค้า ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความสนใจ โดยประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามากที่สุดคือจีน ด้วยมูลค่า 34,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.08 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอดขาดดุลกับจีนหดตัวลง 2.3% จากเดือนม.ค.
นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo กล่าวว่า พวกเขาคาดการณ์ที่จะได้เห็นการส่งออกและการนำเข้าเติบโตขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า จากดีมานด์ในประเทศที่แข็งแกร่งที่ทำให้ตัวเลขขาดดุลการค้าถ่างกว้างออกไป
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่า ความเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งต่างประกาศแผนการขึ้นภาษีนำเข้ามูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของสินค้าอื่นๆ ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง
จีนเริ่มต้นยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ในแผนปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษี 25% กับสินค้าเหล็กนำเข้าของจีนมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯพบว่าจีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ
โดย WTO มีการประชุมปรึกษาหารือกันในระหว่างประเทศสมาชิกในวันที่ 5 เม.ย. ก่อนที่จะมีการยื่นคำร้องต่อกระบวนการระงับข้อพิพาทอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เขาต้องการให้ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่มีกับจีนลดลงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า การมุ่งเน้นที่การขาดดุล มากกว่าการค้าโดยรวม เป็นเรื่องที่ผิดที่ผิดทาง.