“ทรัมป์”ย้ำสงครามการค้าเป็นเรื่องดี
ถึงแม้ภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับเหล็กและอลูมิเนียมจะก่อให้เกิดประเด็นว่าเป็นการทำสงครามการค้าระหว่างประเทศ แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ จะกลับมาเป็นผู้นำทางการค้าได้อีก
“ เมื่อประเทศ ( สหรัฐฯ) กำลังสูญเสียเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับการค้ากับหลายประเทศที่สหรัฐฯ ทำธุรกิจด้วย สงครามการค้าเป็นสิ่งที่ดี และง่ายที่จะชนะ ” ผู้นำสหรัฐฯ ทวีตข้อความเมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 มี.ค. “ เมื่อพวกเราลดจำนวนการขาดดุลการค้าลงได้ 100,000 ล้านดอลลาร์ กับประเทศนั้นๆ และพวกเขาน่ารัก ก็ไม่ต้องมีการค้าอีกต่อไป เราชนะได้อย่างใหญ่โต มันง่ายออก ”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดูจะอ้างถึงถึงความเห็นก่อนหน้านี้ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเม็กซิโกในปัจจุบัน ด้วยตัวเลขที่เขาพูดถึงคือ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 3.15 ล้านล้านบาท) สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับเม็กซิโกประมาณ 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( 1.98 ล้านล้านบาท) อ้างอิงจากข้อมูลสำมะโนประชากร
อ้างอิงจากสำนักบริหารการค้าระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ และ IHS Global Trade สหรัฐฯมีการนำเข้าเหล็กจากแคนาดาและบราซิลมีสัดส่วนคิดเป็น 16% และ 13% ตามลำดับในเดือนก.ย. เมื่อปี 2561 โดยเม็กซิโกเป็นแหล่งนำเข้าเหล็กที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของสหรัฐฯ อ้างอิงจากข้อมูล
ทั้งนี้ แหล่งนำเข้าอลูมิเนียมของสหรัฐฯ คือ แคนาดา (56%) รัสเซีย (8%) และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (7%) ในช่วงระหว่างปี 2556 – 2559 อ้างอิงจากการสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐฯจะจัดเก็บภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และ 10% สำหรับอลูมิเนียมให้เร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า เพื่อให้เป็นการทำการค้าที่ยุติธรรมมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า ขณะที่จีน ซึ่งถูกวิจารณ์ว่า ตั้งราคาเหล็กถูกเกินไป กลับไม่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของประเทศที่สหรัฐฯนำเข้าเหล็กมากที่สุด
Francois – Phillippe Champagne รัฐมนตรีการค้าของแคนาดาระบุว่า การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และแคนาดาจะต้องมีมาตรการเพื่อปกป้องแรงงานในประเทศ
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลงถึง 420 จุดในวันที่ 1 มี.ค.โดยหุ้นของบริษัทโบอิงและเจเนรัล มอเตอร์ และบริษัทผู้ผลิตรายอื่นที่ต้องใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบดิ่งร่วงลงเช่นกัน
ดัชนีสำคัญยังคงอยู่ในแดนลบอย่างต่อเนื่องในวันที่ 2 มี.ค. โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 400 จุดในช่วงต้นของการซื้อขาย เนื่องจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทประเมินข้อผูกพันของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีต่อแผนการปรับขึ้นภาษี แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากหลายประเทศทั้งแคนาดาและญี่ปุ่น บริษัทต่างๆ กลุ่มการค้าและสมาชิกสภาคองเกรสก็ตาม.