อพยพซ้ำซ้อนผู้ลี้ภัยอัฟกันฯในยูเครน
ครอบครัวชาวอัฟกานิสถานผู้ลี้ภัยในยูเครน ต้องพาลูกเมียลี้ภัยอีกครั้งจากยูเครนไปโปแลนด์ หนีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยูเครนอย่างต่อเนื่อง
ผู้คนจากยูเครนลี้ภัยเข้าประเทศเพื่อนบ้านหลายชาติแล้วมากกว่า 5 แสนคน หนีภัยความรุนแรงอันเกิดจากการบุกรุกของกองทัพรัสเซีย โดยในจำนวนผู้ลี้ภัยออกจากยูเครน รวมถึงครอบครัวชาวอัฟกานิสถาน ผู้อพยพลี้ภัยมาจากดินแดนบ้านเกิด เพื่อใช้ชีวิตอยู่ในยูเครน แต่ต้องอพยพหนีสถานการณ์รุนแรงในยูเครนอีกครั้ง
อัจมาล ราห์มานี ชาวอัฟกานิสถาน วัย 40 ปีต้นๆ เคยทำงานให้กองกำลังนาโต้ที่สนามบินในอัฟกานิสถานมาตลอด 18 ปี เพิ่งพาครอบครัวลี้ภัยการเมืองจากอัฟกานิสถานมาอยู่ยูเครนได้เพียง 1 ปีเศษ จำเป็นต้องพาครอบครัว อันประกอบด้วยภริยา ลูกชาย วัย 11 ขวบ และลูกสาว วัย 7 ขวบ อพยพหนีจากยูเครนไปโปแลนด์อีกรอบ เขาต้องพาครอบครัวหนีขึ้นรถบัสออกจากเมืองทางใต้ของยูเครน และพากันเดินเท้าข้ามแดนจากยูเครนไปโปแลนด์เป็นระยะทางมากกว่า 30 กิโลเมตร รวมระยะทางลี้ภัยจากเมืองตอนใต้ของยูเครนสู่โปแลนด์ไกลมากกว่า 1,110 กม. ผู้อพยพต่างชาติจากยูเครน นอกจากชาวอัฟกานิสถานแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศ อาทิ สาธารณรัฐคองโก อินเดียและเนปาล
ส่วนสถานการณ์ยูเครน ล่าสุด เมื่อวันพุธ 2 มี.ค. กองทัพยูเครนอ้างทหารพลร่มของรัสเซียยกกำลังบุกเข้าเมืองคาร์คีฟ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครนทางภาคตะวันออกได้เกือบทั้งหมดแล้ว ทั้งมีรายงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากความรุนแรงจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในกรุงเคียฟ เมืองหลวงยูเครน ทางภาคเหนือตอนกลาง ฝ่ายรัฐบาลยูเครนอ้างทหารรัสเซียยิงจรวดถล่มใกล้หอกระจายสื่อโทรทัศน์ของยูเครน แม้ไม่ถึงขนาดทำให้หอกระจายเสียงพังล้ม แต่ก็ทำให้การออกอากาศต้องหยุดชะงัก ทั้งทำให้มีผู้เสียชีวิตจากแรงระเบิดมากกว่า 5 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนฝ่ายรัสเซีย อ้างสามารถยึดพื้นที่เมืองเคอร์สัน ทางภาคใต้ของยูเครนได้อีกแห่ง เพื่อรุกคืบเข้าเมืองหลวงกรุงเคียฟ เช่นเดียวกับแนวบุกจากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกเฉียงใต้.