เสี่ยวมี่หวนคืนอันดับ 5
บริษัทเสี่ยวมี่ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสัญชาติจีนปีนกลับขึ้นมาอยู่ใน 5 อันดับแรกของบริษัทระดับโลก หลังจากที่ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกมีการลดลงอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งการขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกได้อีกครั้งถือเป็นครั้งแรกในปี 2560 ก็ว่าได้
อ้างอิงจากข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด IDC ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ระบุว่า จำนวนการส่งสินค้าสมาร์ทโฟนทั่วโลกในปี 2560 ลดลง 0.1% เป็น 1.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 46,238 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปี ส่วนบริษัทวิจัยตลาดอีกแห่งอย่าง Strategy Analytics ระบุว่า ตลาดสมาร์ทโฟนมีตัวเลขเพิ่มขึ้น 1%
เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ทั้งในจีนและในสหรัฐฯ ไม่มีความต้องการที่จะอัพเกรดโทรศัพท์ให้เป็นรุ่นเรือธงที่มีราคาที่แพงมากกว่าเดิม ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 และอันดับ 3 ของโลกมีตัวเลขลดลงในไตรมาสล่าสุด ทำให้มีจำนวนการส่งสินค้าสมาร์ทโฟนลดลงปีต่อปีถึง 6.3% ในไตรมาสดังกล่าว
ทางด้านบริษัท Strategy Analytics กลับระบุว่าลดลงถึง 9% ซึ่งถือว่าทรุดตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ตามข้อมูลที่ทาง IDC ระบุไว้ว่าแม้ทางบริษัทแอปเปิลจะส่งสินค้าอย่าง ไอโฟน X ได้น้อย แต่ทางบริษัทแอปเปิลก็ยังมีการส่งสินค้าสมาร์ทโฟนมากกว่าทางบริษัทซัมซุงในรอบไตรมาสล่าสุด
ทางบริษัทเสี่ยวมี่ได้ขึ้นแท่นบริษัทผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก แซงคู่แข่งจากประเทศเดียวกันอย่างวีโว หลังจากที่ปริมาณการส่งสินค้าสมาร์ทโฟนเติบโตขึ้นกว่า 74.5% ทั้งหมด 92.4 ล้านเครื่องภายในปีที่ผ่านมา
ส่วนซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ แอปเปิล หัวเหว่ย และออปโป ยังคงอันดับทั้ง 4 อันดับไว้ได้เช่นเดิม
บริษัทเสี่ยวมี่ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ราว ๆ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท เคยเป็นบริษัทผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในจีนเมื่อปี 2557 และ 2558 ก่อนที่ยอดขายในสองปีต่อมาจะหยุดชะงัก เนื่องจากการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ทางบริษัทกลับมามีแรงกระตุ้นให้เติบโตขึ้นอีกครั้ง เนื่องมาจากผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและราคาไม่แพง รวมถึงการขยายสาขาไปในหลายประเทศ และเข้าแย่งชิงเพื่อเป็นผู้จำหน่ายรายใหญ่สุดในอินเดียกับทางบริษัทซัมซุง
ตลาดสมาร์ทโฟนในจีนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก กลับต้องเผชิญกับความยากลำบากในปีก่อน โดยยอดส่งสินค้าสมาร์ทโฟนลดลงครั้งแรกในรอบปี ราว 4% อ้างอิงจากทางบริษัท Canalys และลดลง 1% อ้างอิงจากทางสถาบันวิจัยอย่าง Counterpoint Research.