นอร์วีเจียนแอร์ไลน์ทำสถิติข้ามแอนแลนติกไวที่สุด
ผู้โดยสารที่เดินทางโดยสายการบินนอร์วีเจียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินจากนิวยอร์ก-ลอนดอน ในวันที่ 15 ม.ค. ต่างได้รับการบริการที่น่าประทับใจและน่าประหลาดใจ เพราะพวกเขาเดินทางถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนดถึง 53 นาที ทำให้เที่ยวบินดังกล่าวกลายเป็นเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแอนแลนติกที่เร็วที่สุดในบรรดาเครื่องบินพาณิชย์ความเร็วต่ำกว่าเสียงเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยใช้เวลาทั้งหมด 5 ชม.13 นาที
ช่วงเวลาแสนสุขนี้ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่ดีกว่าที่คาดไว้ และต้องขอบคุณลมส่งท้ายเครื่องที่หนักแน่น ช่วยให้เครื่องบิน Boeing 787-8 Dreamliner สามารถทำเวลาได้ดีกว่าการบันทึกไว้ครั้งก่อนถึง 3 นาที
ซึ่งผู้ที่ทำสถิติไว้ก่อนหน้านี้คือเที่ยวบินของสายการบินบริติชแอร์เวย์ ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 5 ชม.16 นาทีเมื่อปี 2558
อย่างไรก็ตาม ทางกัปตันของสายการบินนอร์วีเจียนระบุว่า ในอนาคตอาจมีเที่ยวบินที่ใช้เวลาเร็วกว่านี้รออยู่
กัปตัน Harold van Dam จากสายการบินนอร์วีเจียนกล่าวในแถลงการณ์ว่า “จริง ๆ แล้วเราอยู่บนอากาศเพียงแค่ 5 ชม.เท่านั้น และถ้าไม่มีการคาดการณ์ถึงหลุมอากาศในระดับความสูงที่ต่ำกว่านี้ เราอาจจะบินได้เร็วกกว่าที่ทำสถิติไว้ก็เป็นได้”
การทำสถิติครั้งนี้ไม่สามารถเทียบได้กับสถิติของเครื่องบิน Concorde หรือเครื่องบินความเร็วเหนือเสียง ที่มีราคาสูงเสียดฟ้า โดยเครื่องบินลำนี้สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ในเวลาเพียงแค่ 3.5 ชม. และหยุดให้บริการหลังจากนั้นในปี 2546
การเดินทางด้วยเครื่องบินความเร็วเหนือเสียง ซึ่งให้ความรวดเร็วมากกว่า กลายเป็นประเด็นถกเถียง เนื่องจากเครื่องบินจำพวกนี้จะสร้างความเสียหายให้กับภาคพื้นดินมากมาย ทั้งทำให้กระจก หรือปูนแตก และสร้างความยุ่งเหยิงให้กับสัตว์เลี้ยงในฟาร์มอย่างมาก ด้วยเหตุผลทั้งหมดทำให้การเดินทางด้วยความเร็วเหนือเสียงนั้นถูกระงับไปในปี 2546
แต่ยังคงมีความหวังสำหรับผู้ที่ต้องการทำสถิติให้ได้มากกว่าการเดินทางเพียง 5 ชม. 13 นาทีของสายการบินนอร์วีเจียน โดย NASA ได้ประกาศไว้เมื่อปีก่อนว่าจะเปิดรับการเสนอราคาในการสร้างเครื่องบินความเร็วเหนือเสียงรุ่นต้นแบบ ในระดับที่สร้างเสียงดังอย่าง Sonic Boom ต่ำกว่าปกติ
Peter Coen ผู้จัดการโครงการวิจัยเครื่องบินเชิงพาณิชย์ความเร็วเหนือเสียงของ NASA ให้สัมภาษณ์กับทางบลูมเบิร์กว่า การเติบโตของการเดินทางทางอากาศ และระยะทางที่มีการบินก่อนหน้านี้ จะช่วยขับเคลื่อนความต้องการเที่ยวบินทางอากาศ ที่เร็วกว่า มากกว่าเดิมให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ทาง NASA สามารถเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะพร้อมเข้าแข่งขันกับสถิติปัจจุบันในอนาคตได้
ทาง NASA มุ่งมั่นที่จะสร้างเครื่องบินที่มีระดับเสียงอยู่ที่ 60-65 dBa ซึ่งเป็นระดับเสียงประมาณเดียวกับรถยนต์หรูบนทางด่วน หรือเสียงพูดคุยแบคกราวด์ที่ดังพอมีชีวิตชีวาในร้านอาหาร.