ค้นหาผู้รอดชีวิตจากโคลนถล่มในแคลิฟอร์เนีย
เมื่อวันที่ 12 ม.ค. มีปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุโคลนถล่มทางตะวันตกของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 รายเข้าสู่วันที่ 3 ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัยประมาณ 700 นายที่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะพบผู้เสียชีวิตมากขึ้น
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เกิดเหตุโคลนถล่มอย่างรุนแรงก่อนรุ่งเช้าของวันที่ 9 ม.ค. มีโคลนและเศษซากต่างๆลงมาจากภูเขาที่เกิดเหตุไฟไหม้ป่าไปเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเหตุไฟไหม้ป่าที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
“เราสงสัยว่าเรากำลังจะพบกับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกจากเหตุร้ายครั้งนี้” บิล บราวน์ นายอำเภอเขตซานตา บาร์บารากล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 ม.ค. โดยเสริมว่า เขาหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ที่จะมีผู้รอดชีวิตเพิ่มขึ้น นายอำเภอบราวน์กล่าวว่า ยังมีผู้สูญหาย 43 ราย แต่ในจำนวนนั้น บางคนอาจแค่ติดต่อไม่ได้เท่านั้น
หนึ่งในบริเวณที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด คือ ชุมชนชายฝั่ง Montecito ขณะที่บริเวณใกล้เคียงระเกะระกะไปด้วยซากต้นไม้ที่หักโค่นและทำให้ไฟฟ้าดับ และหน้าบ้านคนมีแต่โคลนเต็มไปหมด
อ้างอิงจากแถลงการณ์ของที่ทำการนายอำเภอซานตา บาร์บาราเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ผู้เสียชีวิตทั้ง 17 รายมีบาดแผลหลายแห่งที่เกิดจากเหตุน้ำท่วมฉับพลันและโคลนถล่ม โดยผู้เสียชีวิตมีอายุตั้งแต่ 3 ปี – 89 ปี
ที่ทำการนายอำเภอยังขยายบริเวณอพยพเพิ่มเติมในพื้นที่ Montecito เมื่อวันที่ 11 ม.ค.เนื่องจากการจราจรยังทับถมไปด้วยโคลนกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัยและซ่อมทางที่จะเข้าถึงพื้นที่ซึ่งถูกทำลายเสียหายอย่างหนัก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องโดยสารเฮลิคอปเตอร์และรถล้อสูงของกองทัพเข้าไปในพื้นที่ บางคนใช้สุนัขค้นหา เพื่อออกปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายในพื้นที่ที่ถูกโคลนถล่มอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงบ้านนับร้อยหลังที่พังเสียหาย
เจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ร้องขอความช่วยเหลือจากสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (FEMA) เพื่อขอขยายวงเงินเยียวยาจากเดิมสำหรับเหตุเพลิงไหม้ครั้งที่ผ่านมา อ้างอิงจากแถลงการณ์
“การประกาศครั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่ากองทุนช่วยเหลือรัฐบาลกลางจะมีเพียงพอสำหรับความช่วยเหลือฉุกเฉินและการฟื้นฟูเหตุภัยพิบัติครั้งนี้” อ้างอิงจากแถลงการณ์ของผู้ว่าการรัฐ.