โคลนถล่มแคลิฟอร์เนีย คร่า 13 ชีวิต
เกิดเหตุโคลนถล่มทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 รายเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ในชุมชนตามชายฝั่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐที่เพิ่งถูกไฟป่าเผาผลาญครั้งใหญ่ไปเมื่อเดือนที่แล้ว
โคลนถล่มลงมาอย่างหนักก่อนรุ่งเช้าของวันที่ 9 ม.ค.หลังจากมีคำเตือนให้ผู้อาศัยนับพันในซานตาบาร์บาราตามชายฝั่งแปซิฟิก ทางเหนือของนครลอสแองเจลิสอพยพออกจากบ้านเรือน โดยบางคนต้องอพยพเป็นครั้งที่ 2 แล้วเนื่องจากเกิดเหตุไฟป่ารุนแรงเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา
แต่มีพลเมืองเพียง 10 – 15% เท่านั้นที่ปฏิบัติตามคำเตือน อ้างอิงจากถ้อยแถลงของ Amber Anderson โฆษกหญิงของสำนักดับเพลิงของซานตาบาร์บารา
เจ้าหน้าที่กู้ภัยฉุกเฉินใช้สุนัขและเฮลิคอปเตอร์เพื่อค้นหาและช่วยชีวิตประชาชนนับสิบคนที่ติดอยู่ในบริเวณโคลนที่ข้นหนา ในพื้นที่บริเวณกว้างอยู่ระหว่างมหาสมุทรและอุทยานแห่งชาติลอสปาเดรส ทางเหนือของลอสแองเลิสประมาณ 110 ไมล์
โดย Montecito และ Carpenteria ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่นอกตัวเมืองซานตา บาร์บาราได้รับผลกระทบหนักที่สุด โคลนถล่มทับต้นไม้ รถยนต์และบ้านเรือน กีดขวางทางหลวง 101 ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักจากเหนือลงใต้ขนานไปตามชายฝั่ง
“ถ้าจะพูดให้เห็นภาพที่สุดคือ มันเหมือนกับสนามรบแห่งหนึ่งในสงครามโลกเลย” นายอำเภอบิล บราวน์ของซานตา บาร์บารากล่าวในการแถลงข่าว
จำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในซากบ้านเรือนซึ่งพังเสียหายและยังค้นหาผู้รอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง
โดยจำนวนผู้เสียชีวิตในเหตุโคลนถล่มครั้งนี้มากกว่าเหตุโคลนถล่มในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ปี 2548 โดยในปีนั้นมีผู้เสียชีวิต 10 รายในเมืองลา คอนชิตา ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ถึง 32 ก.ม.
เนื่องจากมีความเสี่ยงจะเกิดโคลนถล่ม ทำให้ทางเขตออกคำสั่งให้ประชาชนประมาณ 7,000 คนอพยพออกจากบ้านเรือนล่วงหน้าก่อนจะเกิดพายุฝนรุนแรง และกระตุ้นให้อีก 23,000 คนอพยพตามความสมัครใจ
ทางเขตได้จัดเตรียมพื้นที่ให้ผู้อพยพได้เข้าไปหลบภัยในวิทยาลัยซานตาบาร์บารา โดยบางคนมีสภาพเลอะโคลนไปทั้งตัว และยังเตรียมพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาให้ด้วย
เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว เกิดเหตุไฟป่ารุนแรงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้พื้นที่เหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุโคลนถล่มได้ เนื่องจากเพลิงได้เผาทำลายหญ้าและพุ่มไม้ที่ช่วยยึดหน้าดินและเคลือบพื้นดินไม่ให้น้ำท่วมลึกลงไปใต้ดิน
Colin Funk หนึ่งในผู้ประสบภัยวัย 42 ปี เล่าว่าเขามองเห็นโคลนและซากต้นไม้ผ่านบ้านใน Montecito ตลอดทั้งคืนและอพยพออกมาจากบ้านในเช้าวันที่ 9 ม.ค.พร้อมภรรยาและลูก 3 คน โดยโคลนหนาสูงถึงประตูหน้าบ้านของเขา “ผมยังโชคดี เพื่อนบ้านของเราบางคนเสียชีวิต”
ช่วงเช้าของวันที่ 9 ม.ค.บางพื้นที่ของซานตาบาร์บารามีฝนตกหนักจนปริมาณน้ำฝนสูงถึงครึ่งนิ้วภายใน 5 นาที ซึ่งสูงกว่าปริมาณปกติ ทำให้มีน้ำท่วมฉับพลัน อ้างอิงจากรายงานของทางการ.