เกาหลีใต้ไม่รับข้อตกลงหญิงบำเรอ
ประธานาธิบดีมุนแจอินแห่งเกาหลีใต้ระบุเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ว่า ข้อตกลงระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นในประเด็น ‘หญิงบำเรอ’ ที่ทำกันไว้ในปี 2558 นั้นมีข้อบกพร่อง และกระตุ้นให้มีมาตรการอื่นๆ ตามมาเพื่อแก้ไขในประเด็นที่มีข้อพิพาทขัดแย้งรุนแรงนี้
เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.เกาหลีใต้แถลงว่า ข้อตกลงที่เคยทำไว้กับญี่ปุ่นในปี 2558 ในประเด็นของหญิงบำเรอ ไม่อาจตอบสนองความต้องการของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีข้อกังขาเนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรกันในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ
“ข้อตกลงที่ทำไว้ไม่สามารถแก้ไขประเด็นหญิงบำเรอได้” ผู้นำเกาหลีใต้ระบุ โดยเรียกข้อตกลงว่าเป็นการตกลงทางการเมืองที่ไม่รวมเหยื่อและสาธารณชน และละเมิดกฎข้อบังคับทั่วไปในประชาคมนานาชาติที่เกียวข้องกับการแก้ไขประเด็นทางประวัติศาสตร์ อ้างอิงจากแถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดี
นักเคลื่อนไหวในเกาหลีใต้ประเมินว่า มีผู้หญิงมากถึง 200,000 คนที่ถูกทหารญี่ปุ่นบังคับให้มาทำงานเป็นทาสกามในกองทัพญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ภายใต้ข้อตกลงในปี 2558 ที่มีอดีตประธานาธิบดีพัคกึนฮเยแห่งเกาหลีใต้และนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะแห่งญี่ปุ่นเป็นผู้ลงนาม ญี่ปุ่นได้ขอโทษอดีตหญิงบำเรอและจัดหาเงินทุนจำนวน 1,000 ล้านเยนหรือราว 288.6 ล้านบาท
เพื่อเป็นกองทุนให้ความช่วยเหลือหญิงบำเรอเหล่านี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้จะนำรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์แทนหญิงบำเรอ ซึ่งจัดตั้งโดยนักเคลื่อนไหว ที่ตั้งอยู่นอกสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงโซลและปูซานออกไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
ทั้งนี้ นักเคลื่อนไหวนำรูปปั้นมาวางไว้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากสาธารณชนให้เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานที่หญิงบำเรอต้องประสบมาในอดีต
นักวิจารณ์มองว่า ข้อตกลงที่เกาหลีใต้ทำกับญี่ปุ่นนั้นเป็นการทำโดยไม่มีการปรึกษาเหยื่อผู้รอดชีวิต (หรือที่เรียกกันว่าทาสบำเรอ) ไม่ได้สร้างความตระหนักด้านความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับญี่ปุ่น และไม่ได้จ่ายค่าชดเชยโดยตรงให้กับเหยื่อ
ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้จะทบทวนข้อตกลงและปรึกษาเหยื่ออีกครั้ง อ้างอิงจากถ้อยแถลงของคังคยองวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้ในการแถลงข่าว
ญี่ปุ่นแถลงเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ว่า ความพยายามใดๆ ของเกาหลีใต้ที่จะทบทวนแก้ไขข้อตกลงปี 2558 จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยากที่จะจัดการได้ โดยทาโร คาโน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น กล่าวว่า ข้อตกลงที่ทำไว้เป็นผลมาจากการเจรจาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ถึงแม้จะมีประเด็นที่ขัดแย้งกัน ประธานาธิบดีมุนให้คำมั่นเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ว่า จะคงระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่นให้เป็นปกติ และทำงานประสานความร่วมมือกันเพื่ออนาคตกับประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ หญิงบำเรอส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีใต้ และที่เหลือเป็นหญิงชาวจีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไต้หวัน โดยในรายงานของสหประชาชาติ หญิงเหล่านี้ถูกหลอกว่าจะได้ทำงานเป็นแม่ครัวหรือคนทำความสะอาดในกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2.