อาลีบาบาสร้างศูนย์วิจัยในต่างประเทศ
อาลีบาบากรุ๊ปโฮลดิ้ง ยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซของจีนกำลังขับเคลื่อนให้มีการสร้างศูนย์วิจัยมูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 501,000 ล้านบาทในต่างประเทศ เพื่อแข่งขันกับผู้นำระดับโลกด้านอี-คอมเมิร์ซ โลจิสติกส์และเทคโนโลยีคลาวด์
โดยสถาบัน ‘Damo’ ของอาลีบาบาจะมีศูนย์วิจัยในจีน อิสราเอล สหรัฐฯ รัสเซีย และสิงคโปร์ และมีการจ้างนักวิจัยจำนวน 100 คนเพื่อทำงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) การคำนวณเชิงควอนตัมและฟินเทค (เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการเงิน) อ้างอิงจากแถลงการณ์ของบริษัทเมื่อวันที่ 11 ต.ค.
“ สถาบัน DAMO ของอาลีบาบาจะเป็นส่วนหน้าของการพัฒนาในเจเนเรชั่นถัดไปซึ่งจะช่วยแผ่ขยายการเติบโตของอาลีบาบาและหุ้นส่วนของเรา ” เจฟฟ์ จาง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีกล่าว
บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนแห่งนี้และบริษัทในเครือมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา ทำให้เหมือนเป็นการแข่งขันโดยตรงกับอเมซอน บริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์ของสหรัฐฯ ทั้งในด้านการจ่ายเงิน ระบบคลาวด์และโลจิสติกส์
ตั้งแต่ปี 2559 อาลีบาบาได้ลงทุนประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (66,800 ล้านบาท) เพื่อเข้าถือหุ้นใหญ่ในลาซาดา ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกออนไลน์ที่มีฐานอยู่ในสิงคโปร์ เป็นการสร้างโครงข่ายของฮับอี-คอมเมิร์ซทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเป็นหุ้นส่วนกับ Ant Financial ซึ่งเป็นระบบการจ่ายเงินในเครือ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เข้าซื้อบริการโอนเงินของสหรัฐฯ MoneyGram ด้วยมูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (40,080 ล้านบาท) ซึ่งเป็นดีลที่ยังรอการดำเนินการและถูกนักวิจารณ์ในสหรัฐฯ ลงความเห็นว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
นอกจากแล็บวิจัยวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่แล้วในแคลิฟอร์เนีย อาลีบาบายังได้เปิดศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่เพิ่มในยุโรป สหรัฐฯ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินเดียและอินโดนีเซียในปี 2559 เพื่อสนับสนุนธุรกิจคลาวด์
บริษัทยังมีการลงทุนในกองทุนด้านการคำนวณเชิงควอนตัม AI และข้อมูลมหภาคของรัฐบาลจีน กระตุ้นให้รัฐบาลของมณฑล มหาวิทยาลัย กองทัพและบริษัทเอกชนมีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในทุกอย่างที่จะนำพาให้จีนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ปัจจุบัน อาลีบาบามีทีมวิศวกร 25,000 คน และโครงสร้างพื้นฐานของการวิจัยใหม่จะช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายที่จะมีลูกค้าให้ได้ถึง 2,000 ล้านคนภายใน 2 ทศวรรษ.