เอมิเรตส์เปิดทางคุยเอทิฮัด
สายการบินเอมิเรตส์เปิดทางเพื่อให้มีความร่วมมือกับคู่แข่งจากประเทศเดียวกันอย่างเอทิฮัดแอร์เวย์ได้ในหลายส่วน รวมทั้งฝ่ายจัดซื้อด้วย นายทิม คลาร์ก ประธานของเอมิเรตส์ประกาศเมื่อวันที่ 11 ต.ค. โดยเสริมว่า การควบรวมกิจการแบบเบ็ดเสร็จระหว่างทั้งคู่คงไม่เกิดขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของทั้งสองสายการบิน
ต่างก็เป็นสายการบินของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เหมือนกัน แต่ทั้งเอมิเรตส์และเอทิฮัดก็แข่งขันกันเพื่อสร้างโครงข่ายทั่วโลกจากฮับของตัวเองคือในนครดูไบและกรุงอาบูดาบี
“ ผมคิดว่า หากมีการทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น จะมีมูลค่ามากขึ้น” คลาร์กกล่าวให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสื่อรอยเตอร์ โดยเสริมว่า อาจมีความกังวลเกิดขึ้นบ้างจากผู้มีหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบในตลาดต่างประเทศบางประเทศ
“ มีหลายส่วนที่ทั้งสองสายการบินสามารถทำงานด้วยกัน อย่างเช่น การจัดซื้อ แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่า อะไรที่เราทำได้ และผมเป็นเพียงผู้จัดการของสายการบินหนึ่งเท่านั้น ” เขากล่าว “ ต้องเป็นเจ้านายของผมที่จะคุยเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ผม”
เมื่อถูกถามว่า ทั้งคู่จะควบรวมกิจการเหมือนกับแอร์ฟรานซ์และเคแอลเอ็มในยุโรปหรือไม่ คลาร์กกล่าวว่า “ ผมไม่คิดว่าจะเป็นเหมือนกรณีนั้น แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ผมหรอก จริงๆแล้ว ขึ้นอยู่กับใครก็ตาม(ผู้ถือหุ้น)ที่จะทำในอนาคต”
ทั้งนี้ เจ้าของเอมิเรตส์คือรัฐบาลนครดูไบ ขณะที่เอทิฮัดเป็นกิจการของรัฐบาลกรุงอาบูดาบี
โดยเอทิฮัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขาดทุนในแอร์เบอร์ลินของเยอรมนีและสายการบินอลิตาเลียในอิตาลีกล่าวตอบการให้สัมภาษณ์ของนายคลาร์กว่า เป็นเรื่องปกติสำหรับสายการบินที่จะหาประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญในประเทศและประหยัดโดยเพิ่มขนาด
“ เราแสวงหาโอกาสอยู่ตลอดเวลาที่จะสร้างความร่วมมือใหม่ๆ กับองค์กรอื่นที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจเพื่อการพาณิชย์” โฆษกของเอทิฮัดกล่าวในอีเมลแถลงการณ์
เมื่อเดือนก.ย. เอทิฮัดประกาศว่าจะแต่งตั้งนายโทนี ดักกลาส อดีตประธานบริหารของท่าอากาศยานกรุงอาบูดาบี และท่าอากาศยานฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอน เป็นซีอีโอตั้งแต่เดือนม.ค.ปีหน้า และกำลังทบทวนแผนยุทธศาสตร์ขยายธุรกิจ
เอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสายการบินที่มีขนาดใหญ่กว่าเอทิฮัด เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดสำหรับแอร์บัสรุ่น A80 ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นที่มีตัวเลขการผลิตชะลอตัวลงจากยอดขาย
คลาร์กกล่าวว่า คำสั่งซื้ออื่นๆ ยังอยูในระหว่างการพิจารณา โดยเสริมว่าการจัดซื้อรุ่น A380 จะเป็นการแทนที่รุ่นนี้ที่มีอยู่อีก 25 ลำที่มีกำหนดจะปลดประจำการในอีก 3 – 10 ปีหน้า.