เด็กและวัยรุ่นทั่วโลกอ้วนเกิน
เด็กและวัยรุ่นที่อ้วนเกินเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 10 เท่าใน 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าเด็กชายและหญิงทั่วโลก 124 ล้านคนอ้วนเกินไป อ้างอิงจากผลวิจัยล่าสุด
บทวิเคราะห์ใน Tha Lancet เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของการมีน้ำหนักตัวเกินที่ครอบคลุมมากที่สุดจาก 200 กว่าประเทศทั่วโลก
โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เด็กที่อ้วนมีแนวโน้มจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนด้วย ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพร้ายแรง
บทวิเคราะห์ของ Tha Lancet ที่เผยแพร่ออกมาในวันโรคอ้วนโลก มาพร้อมกับคำเตือนของนักวิจัยจากสมาพันธ์โรคอ้วนโลกที่ระบุว่า ค่าใช้จ่ายทั่วโลกในการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากความอ้วนจะสูงถึง 920,000 ล้านปอนด์ (41.48 ล้านล้านบาท) ทุกปี ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
ถึงแม้อัตราเด็กอ้วนจะเสถียรในกลุ่มประเทศรายได้สูงในยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักรด้วย แต่ตัวเลขกลับเพิ่มขึ้นมากจนอยู่ในระดับที่น่ากังวลในพื้นที่อื่นๆทั่วโลกด้วยเช่นกัน ศ.มาจิด เอซซาติ หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลกล่าว โดยนักวิจัยเชื่อว่า อาหารราคาถูกที่อุดมไปด้วยไขมันที่มีอยู่ทั่วไปเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของเรื่องนี้
เด็กและวัยรุ่นอ้วนเพิ่มจำนวนขึ้นมากที่สุดในเอเชียตะวันออก โดยจีนและอินเดียมีตัวเลขเด็กอ้วนเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้
นักวิจัยระบุว่า หากแนวโน้มของโลกยังดำเนินไปเช่นนี้ น้ำหนักตัวเกินจะกลายเป็นเรื่องปกติมากกว่าน้ำหนักตัวน้อย
โดยจำนวนเด็กชายและหญิงที่มีน้ำหนักตัวน้อยทั่วโลกลดน้อยลง หลังจากเคยพุ่งไปแตะระดับสูงสุดในปี 2543
ในปี 2559 คนอายุน้อยที่ผอมมีจำนวนราว 192 ล้านคน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ายังคงมีจำนวนมากกว่ากลุ่มคนอายุน้อยที่อ้วน แต่แนวโน้มดูท่าว่าจะเปลี่ยนไป
ในภูมิภาคเอเชียกลาง ละตินอเมริกาและแคริบเบียน เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงจากความผอมเป็นความอ้วนภายในไม่กี่ทศวรรษ
ในปี 2559 คนอายุน้อยที่มีน้ำหนักตัวเกินเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 213 ล้านคนทั่วโลก ถึงแม้จะยังต่ำกว่ามาตรฐานที่จะระบุได้ว่าเป็นคนอ้วนก็ตาม
ดร.แฮร์รี รัตเตอร์ ผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์ลอนดอน กล่าวว่า “นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่เริ่มจะแย่ลงเรื่อยๆ แม้แต่คนผอมก็มีน้ำหนักตัวมากกว่าที่เคยเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน เราไม่ได้เป็นคนใจอ่อน ขี้เกียจและตะกละมากขึ้นหรอก ความจริงคือโลกรอบตัวเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปต่างหาก”
ดร.ฟีโอนา บูลจากองค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้มีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอาหารที่มีแคลอรีสูงและโภชนาการต่ำ และส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายให้มากขึ้น จนถึงตอนนี้ มีเพียง 20 กว่าประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่มีการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
ดร.อลิสัน เทดสโตน หัวหน้านักโภชนาการที่กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ กล่าวว่า “โปรแกรมการลดน้ำตาลของเราและการเก็บภาษีน้ำตาลเป็นเรื่องที่นำหน้าประเทศอื่นในโลก แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหนทางที่ยาวไกลเพื่อรับมือกับความท้าทายของคนในเจเนเรชั่นนี้ หลักฐานก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า แค่บอกคนว่าอะไรที่ทำแล้วไม่ได้ผล ขณะที่การศึกษาและข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ แต่การปฏิบัติตัวอย่างจริงจังเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเราลดการบริโภคแคลอรีและประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น”.