ทรัมป์แบนเดินทางเข้าสหรัฐฯเพิ่ม
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศคำสั่งห้ามเดินทางเมื่อวันที่ 24 ก.ย. โดยมีการเพิ่มรายชื่อประเทศที่ถูกห้ามเข้าสหรัฐฯคือเกาหลีเหนือ เวเนซุเอลาและแชด ทำให้มี 8 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งห้ามเดินทางของผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกยื่นฟ้องต่อศาลมาก่อนหน้านี้
โดยอิหร่าน ลิเบีย ซีเรีย เยเมน และโซมาเลียยังคงอยู่ในรายชื่อประเทศที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งห้ามเดินทางใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่การห้ามพลเมืองซูดานเดินทางเข้าประเทศถูกยกออกไป
มาตรการห้ามเดินทางนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าจะเป็นการทำให้กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯเข้มงวดขึ้น และเป็นการทำตามนโยบายต่างประเทศที่ว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เหมือนกับคำสั่งเดิม ที่จำกัดเวลา คำสั่งนี้ถือเป็นคำสั่งที่ไม่มีการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด
“ การทำให้อเมริกาปลอดภัยเป็นเรื่องแรกที่ผมต้องทำ เราจะไม่ยอมรับกลุ่มคนที่เราไม่สามารถเฝ้าระวังความปลอดภัย ให้เข้ามาในประเทศของเรา” ประธานาธิบดีทรัมป์ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ไม่นานหลังจากมีการประกาศคำสั่งล่าสุด
พลเมืองอิรักจะไม่ถูกห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ แต่จะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยละเอียด และการเพิ่มชื่อประเทศเกาหลีเหนือ และเวเนซุเอลายิ่งเหมือนเป็นการขยายคำสั่งให้กว้างขึ้น หลังจากคำสั่งแรกที่เจาะจงเฉพาะประเทศมุสลิมโดยกลุ่มนิรโทษกรรมสากลในสหรัฐฯ ร่วมประณามคำสั่งนี้
ช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ย. ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคำสั่งห้ามเดินทางใหม่ว่า จะเข้มงวดขึ้น และจะดีขึ้น โดยหลังจากมีเหตุระเบิดในรถไฟใต้ดินของกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ทรัมป์ทวีตว่า คำสั่งห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯใหม่นี้จะต้องครอบคลุมมากขึ้น เข้มงวดขึ้น และเจาะจงมากขึ้น
เห็นได้ชัดว่า คำสั่งห้ามชาวเกาหลีเหนือเดินทางเข้าสหรัฐฯเป็นผลสืบเนื่องมาจากความตึงเครียดของความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีในขณะนี้ ที่มีการโต้ตอบกันไปมาระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีคิม จอง อึน แต่ในส่วนของเวเนซุเอลา ทรัมป์มุ่งกดดันรัฐบาลที่สร้างความเสียหายด้านเศรษฐกิจให้ประเทศ
คำสั่งห้ามเดินทางครั้งแรกของทรัมป์เป็นการแบนไม่ให้ 6 ประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐฯภายใน 90 วัน และห้ามผู้ลี้ภัยเข้าประเทศเป็นเวลา 120 วันเพื่อให้คณะทำงานของทรัมป์มีเวลาที่จะทบทวนกระบวนการตรวจสอบนักเดินทางต่างชาติ ทำให้นักวิจารณ์กล่าวหาทรัมป์ว่า เป็นประธานาธิบดีที่เหยียดชาวมุสลิม ซึ่งเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯที่รับรองเสรีภาพทางศาสนา และการปกป้องความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย เป็นการทำลายระเบียบการเข้าเมืองของสหรัฐฯ และสร้างความเกลียดชังทางศาสนา
ทั้งนี้ ศาลรัฐบาลกลางในสหรัฐฯ มีคำตัดสินให้ยกเลิกคำสั่งนี้ แต่ศาลสูงสหรัฐฯ อนุญาตให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ด้วยข้อจำกัดบางประการ.