ลอนดอนขึ้นแท่นศูนย์กลางการเงินโลกอีก
กรุงลอนดอนขึ้นแท่นเป็นศูนย์กลางการเงินล่าสุดของโลกอีกครั้ง โดยมีคะแนนทิ้งห่างนครนิวยอร์กซึ่งอยู่ในอันดับ 2 มากยิ่งขึ้น อ้างอิงจากรายงานกึ่งประจำปีล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา
ถึงแม้จะมีสถานการณ์ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องเบร็กซิท และมีความกังวลเกี่ยวกับบริษัทและพนักงานจากความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่กรุงลอนดอนกลับได้คะแนนลดลงแค่ 2 คะแนนเมื่อเทียบกับรายงานครั้งก่อน ซึ่งถือเป็นคะแนนที่ลดลงน้อยที่สุดใน 10 อันดับแรก
ขณะเดียวกัน เมืองสำคัญในอเมริกาเหนือ ซึ่งนำโดยนครนิวยอร์กมีคะแนนลดลงถึง 24 คะแนนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา เมืองอื่นๆ ในสหรัฐฯ เช่น ซานฟรานซิสโก ชิคาโก บอสตัน และแวนคูเวอร์ในแคนาดาได้คะแนนเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยผู้จัดทำรายงานชี้ว่า ความกลัวเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เป็นเหตุผลสำคัญ
โดยการทำวิจัยพิจารณาจาก 102 ปัจจัยเชิงปริมาณและการศึกษาด้านคุณภาพ ส่วนใหญ่จะพิจารณาถึงแนวคิดด้านความสามารถในการแข่งขัน โดย 5 ประเภทสำคัญในการพิจารณาคือ บรรยากาศในการทำธุรกิจ ทรัพยากรมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาภาคการเงิน และชื่อเสียง
เมืองในยุโรปกลับมาติดอันดับทั้งแฟรงค์เฟิร์ต ดับลิน กรุงปารีส และกรุงอัมสเตอร์ดัม โดยทุกเมืองได้รับการคาดการณ์ว่าจะได้ประโยชน์อย่างมากหลังจากเบร็กซิท ขณะที่เมืองซึ่งเคยเป็นฮับการเงินดั้งเดิมอย่าง เจนีวา ซูริก และลักเซมเบิร์กมีอันดับต่ำลง
ภูมิภาคที่ได้คะแนนลดลงเช่นกันคือ เอเชีย-แปซิฟิก ซึ่ง 6 ใน 10 เมืองชั้นนำหล่นลงมาจากอันดับเดิม นำโดยสิงคโปร์ และกรุงโตเกียว ซึ่งคะแนนลดลงมากที่สุด สองเมืองที่อยู่ในอันดับสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ คือฮ่องกง ซึ่งสามารถนำหน้าสิงคโปร์และคว้าอันดับ 3 ไว้ได้
ทั้งนี้ คะแนนที่ลดลงเกิดจากความผกผันจากที่เคยรุ่งโรจน์ในปี 2558 – 2559 แต่ถ้ามองในแง่ดี คำถามในการตอบแบบสำรวจคือ เมืองใดที่มีแนวโน้มจะโดดเด่นขึ้นในหลายปีข้างหน้า คำตอบที่ได้คือ 6 ใน 9 เมืองล้วนอยู่ในเอเชีย แปซิฟิก โดยเซี่ยงไฮ้ ชิงเต่า และสิงคโปร์นำอยู่ใน 3 อันดับแรก
นี่เป็นรายงานครั้งที่ 22 ของ ดัชนีศูนย์กลางการเงินโลก (CGFI) ซึ่งรวบรวมจากผลสำรวจด้านคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณพร้อมกับแนวโน้มจากหลักการขององค์กรสำคัญ เช่น หน่วยงาน Economist Intelligence ของนิตยสาร Economist , ธนาคารโลก , องค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ( OECD) และสหประชาชาติ.