กู้เรือขวางคลองสุเอซไม่จบ กระทบหนัก
เรือเอฟเวอร์ กิฟเวน หนึ่งในเรือบรรทุกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยังคงติดขวางคลองสุเอซในอียิปต์เป็นวันที่ 5 แล้ว จากพายุทรายที่พัดมากองทับถมทำให้คลองตื้นเขิน และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเรือที่เกยตื้นขวางคลองนั้นมีมูลค่าสูงมาก
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. เจน พีซาคี โฆษกทำเนียบขาวระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯกำลังจับตามองสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด
“ เราเสนอให้ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ไปให้กับรัฐบาลอียิปต์เพื่อช่วยกู้เรือที่ขวางคลอง กำลังมีการเจรจากันอยู่” เธอระบุในการแถลงข่าว ก่อนที่จะเสริมว่าเรื่องนี้ “มีผลกระทบอย่างมากกับตลาดพลังงาน”
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในวันที่ 26 มี.ค.ท่ามกลางการประเมินว่าการขยับเคลื่อนเรือออกมาอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ โดยราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัสและน้ำมันดิบเบรนต์ปรับขึ้นกว่า 4% หลังจากราคาลดลงในวันก่อนหน้านี้
“ บรรดาเทรดเดอร์ตัดสินใจว่าเรือที่เกยตื้นขวางคลองสุเอซกำลังส่งผลกระทบมากขึ้นกับระบบขนส่งน้ำมัน มากกว่าที่เคยประเมินไว้” เปาโล โรดริเกซ-มาซิว รองประธานตลาดน้ำมันที่ Rystad Energy
เบิร์นฮาร์ด ชูลต์เสริมว่าจะมีเรือลากจูงมาสองลำในวันที่ 28 มี.ค.เพื่อช่วยในการเคลื่อนย้ายเรือออกมา ก่อนหน้านี้ มีความคิดที่จะถ่ายเอาคอนเทนเนอร์ที่บรรจุสินค้าบนเรือลงมา เพื่อช่วยปรับสมดุลให้เรือเบาขึ้น แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลำเลียงคอนเทนเนอร์ลงบนเรืออีกลำหรือมาไว้บนพื้นดิน
คลองสุเอซมีมูลค่าในการขนส่งสินค้าประมาณ 12% ของสินค้าทั่วโลก ทำให้เป็นจุดสำคัญของการขนส่งสินค้า ในแต่ละวันที่เรือลำนี้ขวางคลองสุเอซอยู่ มูลค่าความเสียหายสูงกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( หรือราว 270,000 ล้านบาท) จากข้อมูลของ Lloyd’s List ซึ่งคิดเป็นประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( ราว 12,000 ล้านบาท) ต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ คลองสุเอซช่วยลดเวลาในการขนส่งสินค้าระหว่างเอเชียกับยุโรป ทำให้ไม่ต้องไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปที่แอฟริกา
เรือหลายลำตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือ เนื่องจากคาดว่าจะเคลื่อนย้ายเรือเอฟเวอร์ กิฟเวนออกมาไม่ได้เร็วนัก อย่างไรก็ตาม การให้เรือเปลี่ยนเส้นทางอ้อมไปรอบแหลมกู๊ดโฮ้ป จะทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าสัปดาห์ และมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น
เหตุการณ์เรือขวางคลองสุเอซยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ที่ซัพพลายเชนทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
“ มีการขาดแคลนอยู่ก่อนแล้วทั้งอุปกรณ์ อะไรต่างๆ ทุกอย่างกำลังแย่ และเรื่องนี้ยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก” แอนโธนี ฟุลบรู๊ค ประธาน OEC กรุ๊ปในอเมริกาเหนือกล่าว