อิตาลีล็อกดาวน์อีกรอบ หลังติดเชื้อพุ่ง
โรม – อิตาลีจ่อใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกรอบ เนื่องจากรัฐบาลพยายามจะควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอีกครั้งจากไวรัสที่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่
ครึ่งหนึ่งของ 20 แคว้น ซึ่งครอบคลุมกรุงโรม มิลาน และเวนิซ จะเริ่มใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ 15 มี.ค. โดยมาตรการนี้จะบังคับใช้จนถึงวันที่ 6 เม.ย. จากมติครม.ของนายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากีเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา
ในแคว้นที่ถูกระบุเป็นพื้นที่สีแดง ประชาชนจะไม่สามารถออกจากบ้านได้ ยกเว้นแต่การไปทำงาน หรือเหตุผลด้านสุขภาพ และร้านค้าที่ไม่จำเป็นจะปิดหมด ในพื้นที่สีส้ม ประชาชนจะออกจากเมืองและแคว้นไม่ได้ (ยกเว้นเฉพาะการทำงาน หรือเหตุผลด้านสุขภาพ) ขณะที่บาร์และร้านอาหารจะให้บริการได้เฉพาะเดลิเวรี และสั่งกลับบ้าน
แคว้นที่ได้รับผลกระทบจะถูกกำหนดว่าเป็นพื้นที่สีแดง หรือส้ม ขึ้นอยู่กับระดับของการแพร่ระบาด โดยแคว้นที่มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์สูงกว่า 250 รายต่อประชากร 100,000 คนจะถูกล็อกดาวน์โดยอัตโนมัติ หมายความว่า แคว้นอื่นๆอาจได้รับผลกระทบในช่วงเวลานี้
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ตั้งเป้าให้มาตรการคุมเข้มนี้ส่งผลให้อัตราการแพร่เชื้อของหนึ่งคนลดลงไปอยู่ที่ 1 จากปัจจุบันที่อัตราการแพร่เชื้ออยู่ที่ 1.6 เนื่องจากไวรัสกลายพันธุ์ทำให้มีการระบาดมากขึ้น
นอกจากนี้ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ช่วงอีสเตอร์ ทั้งประเทศจะถูกจัดเป็นพื้นที่สีแดง และจะล็อกดาวน์ทั้งประเทศในวันที่ 3 – 5 เม.ย.
นายกฯ ดรากีระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่เป็นเรื่องจำเป็น เพราะโชคไม่ดีที่เรามีการติดเชื้อระลอกใหม่ หนึ่งปีหลังจากเริ่มต้นการแพร่ระบาดของโควิด-19
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า B117 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร ได้แพร่ระบาดในอิตาลีเช่นกัน โดยกระทรวงกังวลเกี่ยวกับการตรวจพบคลัสเตอร์เล็กๆของไวรัสสายพันธุ์บราซิล
อิตาลีเคยประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศในเดือนมี.ค. – พ.ค.ปี 2563 อย่างไรก็ตาม มีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ในหลายแคว้นทั่วอิตาลีหลังจากนั้น
นายกฯดรากีระบุว่า ในสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 150,175 ราย เพิ่มขึ้นเกือบ 15% จากสัปดาห์ก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะวันที่ 11 มี.ค.เพียงวันเดียว มีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 25,000 ราย ทำสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และยังพุ่งเกิน 26,000 รายในวันที่ 12 มี.ค.
ในช่วงสองสัปดาห์ล่าสุด ยังมีผู้ป่วยเข้ารักษาตัวจากโควิด-19 ในโรงพยาบาลเพิ่มอีก 5,000 ราย และจำนวนผู้ป่วยในห้องไอซียูเพิ่มขึ้นอีกกว่า 650 ราย
นายกฯยังสัญญาว่าจะเร่งฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้ประชาชน แม้อิตาลีจะระงับการใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกา หลังมีรายงานผู้เสียชีวิตในซิชิลี โดยผู้เสียชีวิตรายนี้มีอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันหนึ่งวันหลังจากได้รับวัคซีนโดสแรก
EMA ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาของสหภาพยุโรปกำลังดำเนินการสอบสวนว่า วัคซีนมีความเชื่อมโยงที่ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหรือไม่ แต่ชี้ว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพมากกว่าความเสี่ยง และไม่ได้แนะนำให้ระงับการใช้วัคซีนตัวนี้
จนถึงตอนนี้ ประชาชนในอิตาลีได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ครบโดสแล้วเพียง 3.08% คือ 1,861,852 คน
ขณะที่อิตาลีมีผู้ติดเชื้อสะสมถึง 3,149,017 ราย มากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และมีผู้เสียชีวิต 101,184 ราย