ออสเตรเลียใช้วัคซีน ‘แอสตราเซเนกา’ ต่อ
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ออสเตรเลียระบุว่า จะกระจายวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกาเพื่อฉีดให้ประชาชนต่อไป เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงว่าวัคซีนทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน แม้ประเทศในยุโรปจะระงับการใช้งานวัคซีนตัวนี้ก็ตาม
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. เดนมาร์ก นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ได้ประกาศระงับการใช้งานวัคซีนของแอสตราเซเนกา หลังมีรายงานว่า วัคซีนอาจทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันกับผู้ที่ฉีดวัคซีนตัวนี้
รัฐบาลออสเตรเลียระบุว่า จะไม่มีการระงับการฉีดวัคซีนตัวนี้ ในขณะที่อ.ย.ของออสเตรเลียจับตาเฝ้าระวังในประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด
“ เราจะใช้วัคซีนต่อไป เราจะฉีดวัคซีนตัวนี้ต่อ” ไมเคิล แมคคอร์แมค รองนายกฯ กล่าวกับปู้สื่อข่าวในเมลเบิร์น
ขณะที่พอล เคลลี ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกาก่อให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
“เราสอบสวนเรื่องนี้อย่างเต็มที่” เคลลีระบุในอีเมลแถลงการณ์ ที่อ้างถึงรายงานเรื่องลิ่มเลือด
ออสเตรเลียจัดซื้อวัคซีนต้านโควิด-19 ประมาณ 54 ล้านโดสจากแอสตราเซเนกา ซึ่งเบรนแดน เมอร์ฟีย์ รมว.สาธารณสุขอธิบายว่า เป็นวัคซีนตัวหลักสำหรับออสเตรเลีย โดยจะมีการผลิตในประเทศ 50 ล้านโดส
ทั้งนี้ ออสเตรเลียเพิ่งเริ่มโครงการฉีดวัคซีน แต่รัฐบาลถูกกดดันเรื่องความเร็วในการดำเนินโครงการฉีดวัคซีน
นายกรัฐมนตรีสก็อต มอร์ริสันซึ่งเคยระบุว่า ออสเตรเลียจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนผู้ใหญ่ทุกคนภายในสิ้นเดือนต.ค.
ระบุเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ว่า ชาวออสเตรเลียที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนที่ต้องการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 จะได้รับวัคซีนโดสแรกภายในเดือนต.ค.
จนถึงตอนนี้ มีเพียงประมาณ 150,000 คนที่ฉีดวัคซีน แต่ออสเตรเลียก็มีแรงกดดันน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศในรอบเกือบ 2 สัปดาห์
ออสเตรเลียมีผู้ติดเชื้อสะสมจากโควิด-19 เพียง 29,000 กว่าราย และมีผู้เสียชีวิต 909 ราย นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศมาก เนื่องจากมีการปิดประเทศอย่างรวดเร็ว มีมาตรการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด