เยอรมนีติดเชื้อพุ่งอีก
เบอร์ลิน : เมื่อวันที่ 21 ก.พ. เจนส สปาห์น รมว.สาธารณสุขเยอรมนีออกโรงเตือนเนื่องจากประเทศกำลังมีผู้ติดเชื้อโควิด -19 เพิ่มขึ้นอีก ในช่วงเวลาที่โรงเรียนทั่วประเทศเตรียมจะเปิดทำการเรียนการสอน
“ ไวรัสไม่ง่ายสำหรับเรา” สปาห์นกล่าวกับสื่อในประเทศ “ เรากำลังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกครั้ง มันน่ารำคาญมาก และทำให้หลายอย่างผันผวน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีการเตือนให้ระวังตัว การตรวจหาเชื้อและการฉีดวัคซีนจะช่วยชี้ทางให้เรา”
เยอรมนีมีการล็อกดาวน์บางพื้นที่ตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และประสบความสำเร็จทำให้อัตราการติดเชื้อลดลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์
แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และสูงขึ้นอีกในช่วงไม่กี่วันนี้ เนื่องจากเป็นการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์สหราชอาณาจักรที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เยอรมนีอาจอยู่ในช่วงเริ่มต้นการระบาดระลอกสาม เนื่องจาก 16 รัฐของประเทศกำลังคลายมาตรการคุมเข้ม
โดยตั้งแต่ 22 ก.พ. โรงเรียนและสถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียนมีกำหนดเปิดทำการใน 10 ภูมิภาคของเยอรมนี
โรงเรียนจำนวนมากมีแผนจะจำกัดขนาดนักเรียนในห้องเรียน ควบคู่ไปกับมาตรการคุมเข้มอื่นๆ เช่น การสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่าง แต่มีเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมที่เลือกจะเปิดโรงเรียนอีกครั้งในช่วงเวลานี้
รมว.สปาห์นระบุว่า ต้องพยายามรักษาความสมดุลระหว่างการปกป้องเยอรมนีจากความเสี่ยงจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และความจำเป็นสำหรับเด็กๆที่จะต้องมีชีวิตประจำวันที่ปกติ
เขาเสริมว่า จะมีการจับตาดูผลกระทบของการเปิดเรียนอย่างใกล้ชิด ก่อนจะตัดสินใจขั้นต่อไปในสถานการณ์การแพร่ระบาด
“เมื่อโรงเรียนและเดย์แคร์เปิด หลายล้านคนที่เกี่ยวข้องจะออกจากบ้าน เราจำเป็นต้องจับตามองว่ามีอะไรแตกต่างที่ทำให้กังวลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัส”
โดยเขาเสริมว่า “เราไม่อาจให้สัญญาผิดๆ ว่าจะมีการคลายล็อกมากขึ้น”
รมว.สปาห์นและรมว.สาธารณสุขอีก 16 รัฐจะประชุมกันในวันที่ 22 ก.พ. เพื่อปรึกษาเรื่องการขยับครูและผู้ดูแลเด็กขึ้นไปอยู่ในกลุ่มที่ต้องฉีดวัคซีนก่อน
หากมีมติเห็นชอบร่วมกัน จะขยับกลุ่มครูจากกลุ่ม 3 ขึ้นไปอยู่กลุ่ม 2 ทำให้เป็นกลุ่มต่อไปที่เยอรมนีจะฉีดวัคซีนให้ หลังจากฉีดให้ผูสูงอายุครบแล้ว
ในวันที่ 21 ก.พ. เยอรมนีมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 7,676 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศตั้งแต่เกิดการระบาดอยู่ที่กว่า 2.3 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 67,000 ราย จากข้อมูลของ Robert Koch Institute