ผลวิจัยสหรัฐฯชี้ สวมแมสก์ 2 ชั้นช่วยลดโควิด-19
นิวยอร์ก – เมื่อวันที่ 10 ก.พ. มีการเผยแพร่ผลการทดลองของหน่วยงานสาธารณสุขในสหรัฐฯว่า การสวมหน้ากากอนามัยให้กระชับกับใบหน้าที่สุด หรือการสวมหน้ากาก 2 ชั้นช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้
จากการทดลองที่จัดทำขึ้นในเดือนม.ค.ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) พบว่า การสวมหน้ากากผ้า ทับบนหน้ากากอนมัยที่ใช้ในทางการแพทย์อีกชั้นหนึ่ง หรือการสวมหน้ากากอนามัยให้กระชับใบหน้าที่สุด สามารถช่วยป้องกันโควิด-19 ได้
ในการทดลองเสมือนในห้องแล็บพบว่า ทั้งสองวิธีช่วยลดการแพร่เชื้อ หรือการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่า 90%
โดยข้อมูลจากการทดลองชี้ว่า การสวมหน้ากากอนามัยช่วยลดการสัมผัสละอองฝอยขนาดเล็กที่แพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเทียบกับการไม่สวมหน้ากากเลย
การทดลองเน้นว่า “ หน้ากากอนามัยทำงานได้ดี และทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมีรูปทรงที่กระชับรับกับใบหน้าและสวมอย่างถูกต้อง” โรเชล วาเลนสกี ผอ.CDC กล่าวให้สัมภาษณ์
โดยดร.วาเลนสกีเสริมว่า แผ่นกรองที่ใส่ในหน้ากากเป็นอีกทางเลือกที่ดีที่ทำให้หน้ากากกระชับพอดีกับใบหน้า
ผลการทดลองหนึ่งชี้ว่า หน้ากากที่ไม่ผูกปมให้กระชับสามารถบล็อกละอองฝอยจากการไอได้ 42% และหน้ากากผ้าบล็อกได้ 44.3%
หากรวมหน้ากาก 2 ชิ้นเข้าด้วยกันจะสามารถบล็อกละอองฝอยจากการไอได้ถึง 92.5%
ขณะที่ในการทดลองแยกอีกครั้ง ทาง CDC พยายามจำลองการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระหว่างการหายใจ เมื่อหนึ่งคน หรือทั้งสองคนสวมหน้ากากอย่างถูกต้อง ในสถานการณ์แรก ที่ผู้ไอและทำให้เกิดละอองฝอยสวมหน้ากาก พบว่าไวรัสโคโรนาลดลงถึง 82.2% เมื่อสวมหน้ากากสองชั้น และลดลง 62.9% เมื่อสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่กระชับกับใบหน้า
เมื่อผู้แพร่เชื้อและผู้รับเชื้อในการทดลองเสมือนจริงต่างสวมหน้ากาก 2 ชั้น หรือสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่กระชับแนบกับใบหน้าจะทำให้ผู้รับเชื้อสามารถลดละอองฝอยลงได้ 96.4% และ 95.9% ตามลำดับ
เมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น จอห์น บรูกส์ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของ CDC ระบุว่า “ เราควรทำยังไงก็ได้เพื่อให้หน้ากากกระชับแนบกับใบหน้ามากที่สุด เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เราจะได้ยุติโรคระบาดนี้ได้เร็วขึ้น”