ออกซ์ฟอร์ดชี้วัคซีนป้องกันโควิดกลายพันธุ์ได้
ลอนดอน – เมื่อวันที่ 5 ก.พ. มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแถลงว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ที่ทางมหาวิทยาลัยพัฒนาร่วมกับบริษัทแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโควิดกลายพันธุ์ที่พบในสหราชอาณาจักรได้เหมือนกับโควิด-19 สายพันธุ์เดิม
โดยไวรัสโควิดกลายพันธุ์ ซึ่งพบครั้งแรกในเคนต์ ทางใต้ของอังกฤษ มีการแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น ทำให้หลายประเทศประกาศปิดพรมแดนไม่ต้อนรับนักเดินทางจากสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ยังส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น และทำให้รัฐบาลต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
มาตรการล็อกดาวน์ล่าสุดเริ่มขึ้นพร้อมกับการกระจายวัคซีนต้านโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา-ม.ออกซ์ฟอร์ด ขณะที่มีมากกว่า 10 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนโดสแรกของไฟเซอร์ หรือแอสตราเซเนกา
สหราชอาณาจักรระบุว่า เชื่อว่าวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีอยู่ มีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดอยู่ในสหราชอาณาจักรได้
“ ข้อมูลจากการทดสอบวัคซีน ChAdOx1 ในสหราชอาณาจักรชี้ว่า วัคซีนไม่เพียงป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดิมที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด แต่ยังป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่คือ B117 ซึ่งทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นจากช่วงสิ้นปีที่แล้วทั่วสหราชอาณาจักร” แอนดรูว์ พอลลาร์ด หัวหน้าในการสืบสวนการทดลองวัคซีนของออกซ์ฟอร์ดระบุ
ซาราห์ กิลเบิร์ต ผู้ร่วมพัฒนาวัคซีนระบุว่า แม้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ในสหราชอาณาจักร แต่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้รองรับกับไวรัสกลายพันธุ์อื่นๆในอนาคต
“ เรากำลังทำงานกับทางแอสตราเซเนกาเพื่อปรับให้เหมาะสมกับการกลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น” กิลเบิร์ตระบุ
มหาวิทยาลัยออกซ์ฟร์ดระบุว่า ผลการวิจัย ที่เผยแพร่เป็นเอกสารก่อนตีพิมพ์และยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพ ยังให้รายละเอียดของผลการวิเคราะห์ที่แสดงว่า การฉีดวัคซีนส่งผลช่วยลดเวลาที่ไวรัสจะมีชีวิตอยู่ ทำให้มีการลดการแพร่เชื้อของโรคระบาดนี้