‘จอห์นสัน’ ชี้ เสียชีวิตมากขึ้นจากโควิดกลายพันธุ์
ลอนดอน – เมื่อวันที่ 22 ม.ค. นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันแห่งสหราชอาณาจักรแถลงว่า มีหลักฐานบ่งชี้ว่าไวรัสโควิด-19 ที่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้มากขึ้นกว่าสายพันธุ์เดิม
“ วันนี้เราได้รับข้อมูลว่า ไวรัสกลายพันธุ์นี้ นอกจากจะแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้นแล้ว ยังมีหลักฐานชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งพบครั้งแรกในกรุงลอนดอน และทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ อาจมีผลทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น” นายกฯจอห์นสันระบุในการแถลงข่าว
โดยเขาเสริมว่า หลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านโควิด-19 จากบริษัทไฟเซอร์ – ไบโอเอ็นเทคและจาก ม.ออกซ์ฟอร์ด – บ.แอสตราเซเนกา ที่มีการฉีดให้ประชาชนในสหราชอาณาจักรตอนนี้ ยังคงมีประสิทธิภาพครอบคลุมทั้งไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดิมและสายพันธุ์ใหม่
หลักฐานเหล่านี้ยังคงอยู่ในระยะเบื้องต้นและอยู่ในระหว่างการประเมินของ New and Emergency Reapiratory Virus Threats Advisory Group ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลอังกฤษ
โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่มีชื่อเรียกว่า B117 มีจำนวนการกลายพันธุ์สูงและส่งผลให้มีการแพร่ระบาดได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น
นักวิทยาศาสต์ตรวจพบไวรัสกลายพันธุ์นี้ในเดือนก.ย.ปีที่แล้ว และจนถึงตอนนี้ มีการแพร่ระบาดไปอย่างน้อย 44 ประเทศ รวมทั้งในสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานผู้ติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ใน 12 รัฐ
สัปดาห์ที่แล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯเตือนว่า รูปแบบของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในสหรัฐฯ “แพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้นช่วงต้นปี 2564 และจะพบเป็นส่วนใหญ่ในเดือนมี.ค.”
ในวันเดียวกัน แพททริก วัลแลนซ์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของสหราชอาณาจักร พูดสอดคล้องกับจอห์นสันว่า มีหลักฐานเบื้องต้นว่า มีความเสี่ยงมากขึ้นสำหรับผู้ติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดิม
“ หากมีผู้ป่วยในวัย 60 ปี จากค่าเฉลี่ย 1,000 รายที่ติดเชื้อ จะมีประมาณ 10 รายที่อาจเสียชีวิตจากไวรัส แต่สำหรับไวรัสสายพันธู์ใหม่ จากผู้ติดเชื้อ 1,000 ราย จะมีประมาณ 13 – 14 รายที่คาดว่าจะเสียชีวิต” วัลแลนซ์กล่าว
เขาระบุว่า ข้อมูลอาจยังไม่ชัดเจนพอ และเน้นย้ำว่ามีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ในบราซิลและแอฟริกา
ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรประกาศมาตรการล็อกดาวน์รอบที่ 3 เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก่อนวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยมีรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1,401 รายในวันที่ 22 ม.ค. และมีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในยุโรปถึง 96,166 ราย จากข้อมูลของม.จอห์นส์ ฮอปกินส์
