คาดเศรษฐกิจโลกโตสุดในรอบ 6 ปี
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ทำนายว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตถึง 3.5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 3.6% ในปี 2561
นับเป็นตัวเลขการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าตัวเลขเดิม 3.3% ของสำนักคิดแห่งนี้ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.
โดยทาง OECD กล่าวว่า การค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นช่วยชดเชยแนวโน้มที่อ่อนแรงลงในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ทาง OECD ยังได้คาดการณ์การเติบโตของสหราชอาณาจักร 1.6% ในปี 2560 และ 1% ในปี 2561 ซึ่งยังคงเป็นตัวเลขเดิมจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.
“ ทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด เรากำลังขยับจากแย่ที่สุดไปสู่ระดับปานกลาง ไม่ได้หมายความว่า เราต้องคุ้นเคยหรือย่ำอยู่กับมัน เราต้องพยายามให้มันดีขึ่้น ” Angel Gurria เลขาธิการทั่วไปของ OECD กล่าว
เขาเตือนว่า แนวโน้มที่พัฒนาขึ้นอาจถูกทำลายได้จากมาตรการกีดกันทางการค้า และยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจได้ตามความคาดการณ์ถึงมาตรฐานที่ดีขึ้นของความเป็นอยู่ หรือความเท่าเทียมกันที่มากขึ้น
โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงต่ำกว่าตัวเลขการเติบโตก่อนเกิดวิกฤตทางการเงินทั่วโลกปี 2551-2552
สำหรับเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ทาง OECD มองว่า จะชะลอตัวลงในหลายปีข้างหน้านี้ เนื่องจากความผันผวนของเบร็กซิทบั่นทอนการเติบโต และผู้บริโภคประหยัดการใช้จ่ายเนื่องจากสินค้ามีราคาสูงขึ้นและค่าแรงต่ำลง
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า “ ครัวเรือนลดจำนวนเงินออมลงเพื่อช่วยหนุนให้มีเงินใช้จ่าย คาดว่าการลงทุนธุรกิจจะหดตัวลงท่ามกลางความไม่มีเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรของบริษัทลดลง ”
การเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนีช่วยหนุนเศรษฐกิจของยูโรโซน คาดการณ์ว่าจะมีตัวเลขเติบโตอยู่ที่ 1.8% ในปีนี้และปีหน้า เพิ่มขึ้นจากตัวเลขเดิม 1.6% ทั้งปีนี้และปีหน้า
โดยทางสำนักคิดแห่งนี้ลดแนวโน้มลงสำหรับสหรัฐฯ ถึงแม้เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะช่วยหนุนการส่งออกและการลดภาษีจะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนธุรกิจก็ตาม
ทั้งนี้ ทาง OECD คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 2.1% ในปีนี้ และ 2.4% ในปี 2561 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากการคาดการณ์ในเดือนมี.ค. ที่เคยทำนายไว้ว่า สหรัฐฯ จะเติบโต 2.4% ในปีนี้และ 2.8% ในปีหน้า
Catherine Mann หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ OECD กล่าวว่า การลดแนวโน้มของสหรัฐฯ เกิดจากความล่าช้าของการบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการผลักดันการปรับลดภาษีและการใช้จ่ายในด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ.