ฝ่ายค้าน เตือน “บิ๊กตู่” อย่าใช้เวทีรัฐสภาฟอกขาว
“ฝ่ายค้าน” ชี้ นายกฯไม่จริงใจหาทางออกให้ประเทศ เตือนรัฐบาลอย่าใช้เวทีรัฐสภาเป็นเวทีฟอกขาว
สำหรับการเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกจากวิกฤตทางการเมืองในวันที่ 26-27 ต.ค. ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวจากพรรคฝ่ายค้าน โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ร่วมกันแถลงท่าทีของ 6 พรรคฝ่ายค้าน ต่อการขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ในวันที่ 26-27 ตุลาคม 2563
โดย นายสมพงษ์ กล่าวว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสนอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไป พรรคฝ่ายค้านได้มีการประชุมร่วมกันเห็นว่า ญัตติที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอมา ไม่จริงใจแก้ปัญหา เพราะเหมือนเป็นการตั้งใจให้ร้ายประชาชน ไม่ได้นำไปสู่ทางออกของปัญหาประเทศ แม้พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีข้อจำกัด แต่เราจะร่วมกันยืนหยัดที่จะปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน โดยการเตรียมเข้าร่วมอภิปรายที่จะถึงนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะไม่ยอมให้รัฐบาลใช้รัฐสภาเป็นเวทีซักฟอกให้รัฐบาลนี้ขาวสะอาด แต่ควรเป็นเวทีที่จะหาทางออกให้กับประชาชน ที่มีปัญหาความลำบาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และอื่นๆ
ด้าน นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า เราผิดหวังต่อญัตติของนายกรัฐมนตรี เพราะสังคมคาดหวังว่าการเปิดประชุมฯวิสามัญเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤติประเทศ โดยเฉพาะญัตติที่เกี่ยวกับการชุมนุมเป็นสิ่งที่รัฐสภาต้องตระหนัก เพื่อช่วยกันหาสาเหตุของปัญหา และหาทางแก้ไข นั่นคือทางออกประเทศ
ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า สิ่งที่ควรหยิบยกมาเป็นญัตติในวันนี้ คือ ข้อเรียกร้อง 3 ข้อของผู้ชุมนุม แต่ญัตติที่รัฐบาลยื่นมานั้นขาดสาระสำคัญเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่กลับมีเรื่องโควิด-19 ที่ห่างไกลจากสถานการณ์ในวันนี้มาก และเราได้พูดคุยกันมาหลายรอบแล้ว ส่วนอีกกรณี คือการหยิบยกเรื่องการขัดขวางขบวนเสด็จฯในวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีรายละเอียดที่เป็นการกล่าวหาผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรยังไม่ปรากฏ
ทั้งนี้ญัตตินี้มีความสุ่มเสี่ยงขัดต่อข้อบังคับของการประชุมรัฐสภา สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น และไม่เป็นผลดีต่อใครเลย เราคิดว่าการหยิบยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาในสภาไม่ใช่ทางออก แต่จะยิ่งเป็นการเพิ่มความขัดแย้ง เพราะมูลเหตุเกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมของประชาชน และวันนี้เราจะสร้างมูลเหตุนี้ขึ้นมาอีก ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลมีเจตนาซ่อนเร้นที่จะกล่าวร้ายประชาชน โยนความผิดให้ผู้ชุมนุม หรือเจตนาเบี่ยงเบนไม่ให้เราพูดถึงความล้มเหลวของรัฐบาล
ขณะที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามโทษว่าโควิด-19 เป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจแย่ แต่จริงๆแล้วหากเราดูย้อนหลังเศรษฐกิจแย่มาตลอด อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ว่าเป็นลักษณะธุรกิจกบต้ม คือจะแย่ลงไปเรื่อยๆ ปีนี้ถึงไม่มีโควิด-19 เราก็ติดลบ เพราะฉะนั้นการที่ผู้ชุมนุมเข้ามา เพราะเขาเห็นว่าเขาไม่มีอนาคต ถึงจบมาก็ไม่มีงานที่จะทำ คนตกงานมากขึ้น เศรษฐกิจเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ หาก พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อจะแก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งพอมาชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ ก็สั่งสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันอย่างผิดหลักสากล แม้พยายามแก้ตัว แต่ประชาชนรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรไว้ เรื่องแบบนี้ทำให้โอกาสในการฟื้นเศรษฐกิจไม่มีเลย หาก พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อจะยิ่งไม่มีทางที่ประเทศไทยจะฟื้นเศรษฐกิจได้ ปัญหาจะยิ่งเพิ่มขึ้น