ฝ่ายความมั่นคงเร่งล่ามือระเบิด รพ.พระมงกุฎ

เกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งวันเกิดเหตุตรงกับวันครบรอบ 3 ปี การรัฐประหารของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ”
โดยวันที่ 22 พ.ค. 2560 ซึ่งตรงกับวันครบรอบการรัฐประหารของ คสช. ปรากฏว่าได้เกิดเหตุระเบิด บริเวณห้องตรวจโรคนายทหารชั้นยศนายพล ช่องจ่ายยา ช่องการเงิน และใกล้กับห้อง “วงษ์สุวรรณ” ที่ใช้รับรองข้าราชการบำนาญ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 20 คน
ทำให้ประชาชนคนไทยและนานาชาติร่วมประณามเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะการก่อเหตุในโรงพยาบาลถือว่าไม่มีมนุษยธรรมอย่างยิ่ง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ไม่อยากให้คิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการท้าทาย ทำไมคนถึงคิดแบบนี้ ใจร้ายไม่คำนึงถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ คนเจ็บคนป่วยก็ทุกข์อยู่แล้วก็ยังทำเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาอีกเพื่อหวังผลอะไรก็แล้วแต่ต้องสืบสวนให้ได้ ขออย่าบิดเบือนว่ารัฐบาลทำเองคงไม่มีรัฐบาลบ้าที่ไหนทำแบบนั้น เว้นแต่คนที่อยากเป็นรัฐบาลแล้วคิดจะทำ แต่ผมไม่เคยคิดแบบนั้นขออยากให้ย้อนกลับไปดูในวันที่ประเทศไม่สมบูรณ์ ไม่เรียบร้อยว่ามีใครเคยทำแบบนี้บ้าง”
ขณะที่ พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิดโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เหตุระเบิดดังกล่าว มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยประมาณ 24 ราย เบื้องต้น ทางโรงพยาบาลได้ควบคุมพื้นที่เกิดเหตุได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยนายกฯ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ และให้เร่งตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
ส่วนท่าทีของฝ่ายความมั่นคง “พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท” ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงข่าวว่า อาวุธที่ใช้ประสงค์ต่อชีวิตเนื่องจากพบตะปูจำนวนมาก และอาวุธที่ใช้เป็นไปป์บอม เหมือนกับที่ก่อเหตุหน้ากองสลากฯ และโรงละครแห่งชาติ เชื่อว่าคนร้ายเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่เป็นกลุ่มไหนยังไม่ชัด แต่วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความปั่นป่วนการทำงานของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังได้มอบหมาย ปรับแผนความมั่นคง เพิ่มกำลังออกลาดตระเวน รวมถึงการเฝ้าระวังจุดเสี่ยงมากขึ้น โดยการข่าวยังพบว่า มีความพยายามก่อเหตุอีก
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้นำ 3 คดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่เหตุระเบิดที่หน้ากองสลากเก่า เมื่อวันที่ 5เม.ย. เหตุระเบิดที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. มารวมกัน ซึ่งหน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด (อีโอดี)ให้ข้อมูลว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกัน คือ กลุ่มไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับวันครบรอบ 3 ปี รัฐประหารหรือไม่ ส่วนตัวไม่ทราบ ซึ่งแนวทางการสืบสวนยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง
ขณะที่ “พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคง เดินทางเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พร้อมกล่าวว่า จากการตรวจสอบยืนยันว่า เป็นวัตถุระเบิด เนื่องจากพบหลักฐานเป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ สายไฟ และถ่านไฟฉาย ระเบิดมีรัศมีการทำลายล้างในระยะ 2-3 เมตร ส่วนสาเหตุดังกล่าวจะมีความเชื่อมโยงกับการครบรอบ 3 ปี ในการทำรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ขณะเดียวกันได้กำชับให้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล เร่งรัดดำเนินการสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี รวมถึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสิ่งผิดปกติ โดยรอบทั้งในและนอกอาคาร เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำซ้อน
ซึ่งจากเหตุระเบิดดังกล่าว ทำให้สถานที่ราชการส่วนใหญ่ต้องยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้น อย่างเช่น “ทำเนียบรัฐบาล” เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยเข้มข้นขึ้น ทั้งภายในทำเนียบรัฐบาลและบริเวณโดยรอบ โดยความถี่ในการเดินลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด โดยเฉพาะที่ประตูทางเข้า-ออกทุกประตู ทั้งรถยนต์และบุคคล โดยเฉพาะรถยนต์นั้นมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรถที่มีสติกเกอร์ติดผ่านเข้า-ออกหรือไม่ โดยการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่นั้นตำรวจได้ประสานงานกับทหารจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ กองทัพภาคที่ 1