ไขปม “พี่ใหญ่” ถอดใจลาออก
กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทันทีเมื่อ“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
พูดกลางวงประชุมสัมมนาการขับเคลื่อนและการปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการ ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาที่ไม่รู้ว่าจงใจหลุดหรือจงใจเปิดประเด็น
“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บอกผมว่า ไม่ไหวแล้ว อายุ 70 แล้ว จะลาออก ผมบอกถ้าลาออกผมก็ตั้งใหม่ได้ มาตรา 44 ตั้งได้อยู่แล้ว ใครเป็นคนไปปล่อยข่าวปลัดกระทรวงหรือไม่ เราร่วมชะตากรรมมาตั้งแต่ 22 พฤษภา จะทิ้งผมไปหรือ ผมไม่ทิ้งท่าน ท่านก็อย่าทิ้งผม”
หากดูตามท้องเรื่อง สะท้อนอาการร้าวลึกภายใน “คสช.” แน่นอน คำพูดตัดพ้อของ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ไม่ได้พูดเล่นๆหรือลอยๆ แน่นอน เพราะ2 – 3 เดือนที่ผ่านมา เจอมรสุมทางการเมืองหนักหนาสาหัสเอาการ จึงทำให้รู้สึกถอดใจจนทำให้“บิ๊กป้อม” ต้องออกมาแก้ต่าง
“ผมไม่ได้บ่นว่าจะลาออก แต่บอกว่าผมแก่ เป็นเพียงการคุยเล่นๆ กับท่านนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อย เกิดมาทำงานมาตลอด ทำมากว่า 50 ปีแล้ว ยืนยันผมไม่ได้งอนหรืออะไรใคร จะงอนได้อย่างไร แก่จะตายอยู่แล้ว ถ้างอนก็คงน่าเกลียดตาย”
แน่นอนว่า ปมปัญหาที่นำมาซึ่งคำพูดตัดพ้อครั้งนี้ คงหนีไม่พ้น ถูกคนกันเอง ที่ไม่ใช่ใครที่ไหน นายทหารคนสนิทของ“ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่าง “พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป” เปิดปมแฉว่ามีการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ
ประกอบกับล่าสุด “ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า “Arthit Ourairat”ระบุว่า
“แต่งตั้งตำรวจ มีข่าวกระจายทั่วไปว่า ขึ้น ผู้กำกับ ต้อง 1 ล้าน ขึ้น รองผู้บังคับการ ต้อง 2 ล้าน ถามว่า มี ผู้กำกับ กี่คน มี รองผู้บังคับการ กี่คนยังไม่นับ สารวัตร รองผู้กำกับการ ผู้บังคับการ รองผู้บัญชาการ ผู้บัญชาการ อีกหลายพันตำแหน่ง ซึ่งมีข่าวว่า ตอนนี้หลายที่ ก็ขี่กันหลายคน หลายที่ยังว่างแบบนี้ใช่ไหม คือ การปฏิรูปตำรวจใช้ระบบคุณธรรม อย่าใช้ระบบอุปถัมภ์ตำรวจเขาไม่มีกำลังใจทำงานกันแล้ว”
งานนี้ทำเอารองนายกด้านความมั่นคงอย่าง “บิ๊กป้อม” ถึงกับหัวเสียฉุนขาดสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ลุยฟ้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุดไม่ไว้หน้าใคร
แต่ทว่า“ดร.อาทิตย์” ถือว่าเป็นแกนนำคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของกลุ่ม “กปปส.” และ ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งสนิทแนบแน่นกับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำ กปปส. ที่มองว่า การปฏิรูปตำรวจ “ล้มเหลว” เพราะคสช.ไม่ยอมใช้อำนาจมาตรา 44 รื้อใหญ่โครงสร้างอำนาจตำรวจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
และอีกเรื่องที่ “พี่ใหญ่” ถูกโจมตีหนักไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” จากการจัดซื้ออาวุธ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกองทัพ ทั้งรถถัง เรือดำน้ำ หรือ เครื่องบินรบ จนนำมาซึ่งกระแสโจมตีหนัก ที่ทำให้ “ฝ่ายตรงข้าม” ใช้เป็นประเด็นพุ่งเป้าดาหน้าโจมตีรายวัน ว่าเป็นการใช้งบประมาณภาษีประชาชนท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ไล่มาจนถึงปม ที่ต้องเจ็บหัวใจที่สุด หนีไม้พ้น “คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)” เมื่อ 7ต.ค. 2551 ในยุคของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” พี่เขยของนายทักษิณ ชินวัตร ที่คดีนี้ดันไปเกี่ยวข้องกับน้องชายในสายเลือด อย่าง “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
นาทีบอกได้คำเดียวว่า เป็นนาทีบีบหัวใจ “บิ๊กป้อม” ในฐานะพี่ชาย ที่ทางเลือกถูกบีบให้เหลือไม่มาก ระหว่างปล่อยให้“น้องรัก”เสี่ยงติดคุก หรือ เดินหน้าชนกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่าย หากมีการถอนฟ้องคดีนี้
แต่ท้ายที่สุดก็ย้อนกลับมาที่ว่าแม้ “บิ๊กป้อม” จะบอกว่าเป็นเพียงการพูดเล่น หยอกล้อว่าจะลาออก!! แต่ปัญหาที่ไล่เรียงให้เห็นบางส่วน ได้ถาโถมเข้ามาทั้งศึกนอก ศึกในของ “คสช.”
ที่คงต้องวัดใจ “บิ๊กตู่” จะประคองความรู้สึกของ “พี่ใหญ่” อย่างไร หรือ จะปล่อยให้ท้อใจลาออก ลงจากหลังเสือก่อน ท่ามกลางข่าวลือหนาหูในเรื่องของการตั้งพรรคการเมืองเพื่อเตรียมเลือกตั้ง หลังได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ !!!